Big Data ผสาน Thick Data ปลดล็อกนวัตกรรมด้วยข้อมูลสองมิติ
ครั้งหนึ่ง Netflix กำลังทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกสตรีมมิ่ง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของ Big Data อันมหาศาล อัลกอริทึมอัจฉริยะสามารถแนะนำซีรีส์ และภาพยนตร์ที่ตรงใจผู้ชมได้อย่างน่าทึ่ง วิเคราะห์ทุกการคลิก ทุกการหยุดพัก และทุกยอดวิว พวกเขารู้ว่าผู้คนดูอะไร และ เมื่อไหร่ แต่ท่ามกลางข้อมูลเหล่านั้น มีพฤติกรรมหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างโดดเด่นแต่ยังคงเป็นปริศนานั้นคือ “Binge-Watching” หรือการดูซีรีส์รวดเดียวจบแบบมาราธอน
เเต่เพียงเเค่ข้อมูลที่บอก ‘อะไร’ อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จขนาดนั้น จึงเป็นที่มาของ Thick Data มันคือข้อมูลเชิงคุณภาพที่ให้ความเข้าใจถึงแรงจูงใจ ความเชื่อ และประสบการณ์ส่วนบุคคล ในกรณีของ Netflix อะไรคือแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังการที่ผู้คนเลือกที่จะใช้เวลาสุดสัปดาห์ไปกับการดูซีรีส์อย่างไม่หยุดหย่อน? อะไรคือสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์และแรงจูงใจเบื้องลึก?
Netflix ได้เชิญทีมวิจัยเข้าไปทำ Ethnographic Research โดยเข้าไปในบ้านของผู้ชมจริง เพื่อสังเกตการณ์พฤติกรรมการดูซีรีส์ในบริบทธรรมชาติ พวกเขาเฝ้าดูคู่รักที่ดูซีรีส์ด้วยกันในคืนวันศุกร์ สังเกตการผ่อนคลายของผู้คนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือแม้แต่การสร้างวัฒนธรรมร่วมกันในกลุ่มเพื่อนที่ใช้ซีรีส์เป็นหัวข้อสนทนา ทีมวิจัยบันทึกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่บรรยากาศในห้องนั่งเล่น ปฏิกิริยาทางอารมณ์ ไปจนถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างดู
จากการสังเกตการณ์เชิงลึกนี้เอง พวกเขาค้นพบว่าการ Binge-Watching ไม่ใช่แค่การเสพติดจอ แต่มันตอบสนอง “ความต้องการทางสังคมและอารมณ์” ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น สำหรับคู่รัก มันคือการสร้างความผูกพัน และกิจกรรมร่วมกัน สำหรับคนทำงาน มันคือการหลบหนีจากความเครียดเพื่อการผ่อนคลายอย่างแท้จริง และสำหรับกลุ่มเพื่อน มันคือการสร้างวัฒนธรรมและบทสนทนาที่มีร่วมกัน
โดยสรุปข้อมูลสองตัวนี้ทั้ง Big Data + Thick Data คือ กุญแจไข “ทำไม” สู่สุดยอดนวัตกรรม
Big Data:
- เน้น “ปริมาณ” (Scale): เพื่อระบุแนวโน้ม รูปแบบ และความสัมพันธ์จากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้สามารถตอบคำถาม “อะไร” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สินค้าขายดีที่สุดคืออะไร กลุ่มประชากรใดมีส่วนร่วมสูงสุด หรือยอดขายสูงสุดในช่วงเวลาใด
Thick Data:
- เน้น “ความลึก” (Depth of Insights): เพื่อบอกว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” ทักษะเป็นสิ่งสำคัญในการนำข้อมูลนี้มาใช้ประโยชน์ เครื่องมือหลักๆ ในการทำ Thick Data ได้แก่:
- วิธีการวิจัยแบบดั้งเดิม
- Participant Observation: นักวิจัยเข้าไปอยู่ร่วมในสภาพแวดล้อมที่ศึกษา (เช่น สังเกตผู้ซื้อในร้านค้า หรือใช้เวลาในที่ทำงาน)
- In-depth Interviews: การสนทนาตัวต่อตัวที่ก้าวข้ามคำตอบผิวเผิน เพื่อค้นพบแรงจูงใจ ความเชื่อ และประสบการณ์
- Focus Groups: แม้จะลึกน้อยกว่าการสัมภาษณ์รายบุคคล แต่ก็ช่วยให้จับพลวัตของกลุ่มและบริบททางสังคมได้
- เครื่องมือใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล:
- Social Listening: วิเคราะห์บทสนทนาออนไลน์ (เว็บบอร์ด รีวิว โซเชียลมีเดีย) เพื่อจับอารมณ์ความรู้สึก ธีมที่เกิดซ้ำ และวิธีที่ผู้คนแสดงออกตามธรรมชาติ
- Digital Ethnography (Netnography): การปรับเทคนิคเชิงชาติพันธุ์มาใช้กับชุมชนออนไลน์ เพื่อสังเกตพฤติกรรมภายในฟอรัม หรือกลุ่มโซเชียลมีเดียเฉพาะ
การค้นพบ “ทำไม” ครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ Netflix อย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่แค่ส่งมอบรายการโทรทัศน์ พวกเขาเริ่มเข้าใจว่ากำลัง “ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์และสังคม” ของผู้ชม นี่เป็นแรงบันดาลใจให้ Netflix ลงทุนมหาศาลในการผลิต Original Content ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เราทุกคนมีอาการ Binge-Watching โดยเฉพาะ ทั้งการตั้งใจปล่อยทั้งซีซันพร้อมกัน หรือสร้างจักรวาลเนื้อหาที่ดึงดูดใจผู้ชมให้ดำดิ่งได้อย่างไม่สิ้นสุด
ที่มา: squareholes
What is a Unmet Need? (ความต้องการที่ซ่อนอยู่คืออะไร)
นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกมักไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยีล้ำยุคเสมอไป แต่มักเริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า “ความต้องการลึกๆ ของลูกค้าคืออะไร” ความต้องการลึกๆ หรือที่เรียกว่า Unmet Need ในเชิงทฤษฎีการออกแบบ และนวัตกรรมความต้องการของผู้ใช้งานสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับตั้งแต่ความต้องการพื้นฐานที่ผู้ใช้อธิบายได้อย่างชัดเจน ไปจนถึงความต้องการที่ยังไม่สามารถระบุ หรือรับรู้ได้ด้วยตนเองซึ่งเรียกว่า Hidden Needs หรือ Unmet Needs ความต้องการเหล่านี้มักอยู่ในระดับที่ลึกกว่าการแสดงออกทั่วไป เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในพฤติกรรม ความรู้สึก หรือสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้อาศัยอยู่
แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับการออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centered Design) และแนวทาง Outcome-Driven Innovation ของ Ulwick (2005) ซึ่งชี้ว่า ความเข้าใจใน “งานที่ผู้ใช้อยากให้เสร็จ (Jobs to Be Done)” นั้นต้องลึกซึ้งกว่าคำพูดหรือแบบสอบถามทั่วไป เพราะผู้ใช้จำนวนมากไม่สามารถบอกความต้องการที่แท้จริงของตนออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา (Latent or Unarticulated Needs)
ตัวอย่างของ Hidden Needs ได้แก่ ความรู้สึกไม่มั่นใจในที่ทำงาน ความไม่สะดวกที่ไม่ได้พูดถึงในชีวิตประจำวัน หรือการอยากควบคุมสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว การทำความเข้าใจ Hidden Need ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตั้งคำถามทั่วไป เช่น “คุณต้องการอะไร?” แต่ต้องใช้เครื่องมือ และกระบวนการวิจัยเชิงลึก เพื่อสกัดจากผู้บริโภค เมื่อองค์กรสามารถระบุ Hidden Need ได้อย่างถูกต้อง ก็มีแนวโน้มสูงที่จะสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตรงใจมากขึ้น
กรณีศึกษาการพัฒนา Unmet Need สู่นวัตกรรม ในโลกธุรกิจ
Dyson: แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Dyson ที่จับสังเกตพฤติกรรมการล้างมือหลังใช้ห้องน้ำเสร็จ คนเหล่านั้นต้องการให้มือที่ใช้งานไปมีความสะอาด แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของห้องน้ำที่ทำอย่างไรก็เจอเเต่พื้นสัมผัส และสิ่งสกปรก เครื่องเป่าลมทั่วไปก็มีเสียงวิจารณ์ในเรื่องของอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม เเทนที่จะทำความสะอาดกลับเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรค Dyson จึงได้ทำการออกผลิคภัณฑ์เครื่องเป่ามือ Dyson Airblade ทำงานโดยใช้กระแสลมที่ผ่านการกรองที่แรงเพื่อเป่ามือให้แห้งอย่างรวดเร็วและถูกสุขอนามัย แทนที่จะใช้ความร้อนเพื่อระเหยความชื้น เครื่องเป่ามือจะดูดอากาศเข้ามา กรองผ่านตัวกรอง HEPA จากนั้นจึงเป่าลมผ่านช่องเปิดแคบๆ เพื่อสร้างกระแสลมความเร็วสูงที่ “ขูด” น้ำออกจากมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Tesla: หลังจากการค้นพบว่าเจ้าของรถมีความคาดหวังลึกๆ ว่ารถควร “พัฒนาได้ตลอดเวลา” โดยไม่ต้องเข้าศูนย์หรือต้องซื้อรุ่นใหม่ พวกเขาจึงพัฒนา ระบบ Over-the-Air Updates ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่ให้กับรถยนต์ได้ทุกสัปดาห์ กลายเป็นประสบการณ์ที่เหมือนกับใช้สมาร์ตโฟนมากกว่าการครอบครองสินทรัพย์แบบเดิม และเปลี่ยนวิธีคิดของทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์
Loom: การเห็นว่าคนจำนวนมากต้องเข้าประชุมและสื่อสารในสภาวะที่ไม่ได้มีเวลาคิดหรือเตรียมตัว Loom จึงสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสื่อสารไอเดียผ่านวิดีโอสั้นแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous) คือการสื่อสารใดๆ ที่ไม่ได้ทำแบบเรียลไทม์นั่นหมายความว่าคำถามหรือข้อความจะไม่ได้รับคำตอบในทันที แต่จะได้รับคำตอบหลังจากช่วงเวลาหนึ่งเมื่อผู้รับสะดวก และตอบกลับด้วยความใคร่ครวญกับคำตอบอย่างดีที่สุด ผลลัพธ์คือวัฒนธรรมการทำงานที่เคารพจังหวะของแต่ละคน ลดภาระการประชุม และเพิ่มคุณภาพของความคิด
ทั้งสามกรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า นวัตกรรมที่มีพลังสูงสุดมักเกิดจากการมองเห็น “ช่องว่างที่ยังไม่ถูกพูดถึง” ของความต้องการที่แท้จริงของผู้คน ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีกว่าคู่แข่ง แต่เป็นการ “เข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง” จนสามารถออกแบบประสบการณ์ที่ตรงใจได้ก่อนที่ผู้บริโภคจะเอ่ยปากขอเสียอีก
ในโลกที่ผู้คนมีทางเลือกมากมาย และสามารถเปลี่ยนความภักดีต่อแบรนด์ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา การสร้างสินค้าและบริการที่สามารถ “เชื่อมต่อกับความรู้สึกภายใน” ได้อย่างแม่นยำ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการออกแบบที่ดี แต่คือ กลยุทธ์สำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในโลกที่ซับซ้อน เพราะในท้ายที่สุด การชนะใจผู้บริโภคไม่ได้มาจากการเป็น “ทางเลือกที่ถูกกว่า หรือเร็วกว่าคู่แข่ง” แต่คือการเป็น “คำตอบที่ใช่”
ที่มา:
Ulwick, A. W. (2005). What Customers Want: Using Outcome-Driven Innovation to Create Breakthrough Products and Services. McGraw-Hill.
https://caredge.com/guides/ota-updates-for-cars
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า “สร้างแบรนด์ได้ดี” วัดจากอะไร?
ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา Baramizi Group (ซึ่งประกอบด้วยนักสร้างแบรนด์ และนักวิจัยและพัฒนาแบรนด์) ได้ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ ในการค้นหาคำตอบของคำถามนี้ บนความเชื่อที่ว่า “การสร้างแบรนด์ต้องวัดผลได้”
ซึ่งความ ambitious ของเราคือ ไม่ใช่แค่วัดผลเป็น Index หรือเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นเพียงตัวเลขอ้างอิงเท่านั้น แต่ต้อง วัดได้เป็น “มูลค่า” ที่จับต้องได้ในเชิงตัวเงิน
เพราะเมื่อใดก็ตามที่แบรนด์สามารถแปลงค่าเป็นตัวเงินได้ ก็จะทำให้ความเชื่อที่ว่า “แบรนด์คือสินทรัพย์ทางธุรกิจ” พิสูจน์ได้และแพร่หลายได้จริง
ระหว่างการศึกษาวิจัย ก่อนที่จะไปถึงตัวเงินเหล่านั้น คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ ทั้งในเชิงวิชาการและคนทำงานจริง คือ:
“เราจะบอกได้อย่างไรว่าแบรนด์นี้สร้างได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จ”
คำตอบที่เรียบง่าย หลังจากการค้นคว้าทฤษฎีและงานวิจัยจำนวนมาก มีอยู่ 3 ประการด้วยกันค่ะ:
1. แบรนด์ที่ดีจะช่วยขายของได้มากขึ้น
แบรนด์ที่มียอดขายสูงในปัจจุบัน เป็นข้อบ่งชี้เบื้องต้นว่าแบรนด์นั้นมีความแข็งแรง โดยเฉพาะในกรณีที่แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค และ ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคาถูกเป็นหลัก
การที่ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้อแบรนด์นั้น ๆ ย่อมสะท้อนว่าแบรนด์นั้น เป็นที่รู้จัก ได้รับความเชื่อถือ และไว้วางใจ
ดังนั้นยอดขายจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินมูลค่าแบรนด์
2. แบรนด์ที่ดีจะช่วยขายของได้แพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมียอดขายที่มากและมีฐานลูกค้า และผู้รู้จักแบรนด์ที่กว้างขวางไม่ใช่ความสำเร็จรูปแบบเดียวของแบรนด์ยุคนี้ ผลลัพธ์ของการสร้างแบรนด์ในรูปแบบที่ 2 ที่ต้องพิจารณาร่วมกันคือ ลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อแบรนด์ได้มากกว่าย่อมหมายถึงอิทธิพลของแบรนด์ที่มีต่อการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่า การวัดอัตราการยอมจ่ายเพิ่มเพื่อแบรนด์ในงานวิจัยด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ด้วย BFV Model เราจะใช้การสำรวจมุมมองของผู้ที่ซื้อหรือสนใจจะซื้อแบรนด์ว่ายินยอมที่จะจ่ายเพิ่มเมื่อเป็นแบรนด์นี้ที่คนชื่นชอบมากน้อยเพียงใด เราเรียก Index ในข้อนี้ว่า Price Premium
และก็เช่นกันว่า กลยุทธ์ที่สร้างแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ระดับสูงที่ต้องเอื้อมนิดๆ ให้ได้มาก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีแต่ไม่ใช่กลยุทธ์เดียวที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จจึงต้องพิจารณาควบคู่กันกับข้อแรกด้วยซึ่งส่วนใหญ่มักมีโอกาสให้ผลที่สวนทางกันซึ่งก็ไม่แปลกอะไรค่ะ หากเราเป็นนักลงทุนเราก็สามารถเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับความสนใจของเราได้เลยว่าจะเน้นแบรนด์ที่ขายของได้มากหรือแบรนด์ที่ขายของได้แพง
นอกจากนี้ การขายของได้มากขึ้นยังมีอีกมิติที่ทีมวิจัยเกณฑ์คำนึงถึงด้วย คือความสามารถในการขายได้เพิ่มในอนาคต ซึ่งเกิดจากการที่แบรนด์สร้างความประทับใจ สร้างความเป็นสาวก (Brand Superfans Index) ได้เป็นอย่างดีแม้ฐานลูกค้าจะยังเล็กอยู่ในปัจจุบันก็อาจบ่งชี้ได้ว่าหากมีการขยับขยายการลงทุนและเติบโตทางช่องทางการขายได้ในอนาคตก็จะนำไปสู่การขายของได้มากตามหลักการในข้อ 1 ได้ตามมานั่นเอง ในสูตรของการประเมินมูลค่าแบรนด์แห่งอนาคตของ Baramizi Group จะให้น้ำหนักกับอัตราความแข็งแรงส่วนนี้ในการคาดการณ์โอกาสเติบโตในอนาคตด้วย
3. แบรนด์ที่ดีจะช่วยให้ต้นทุนในการได้มาซึ่งทุนสำหรับธุรกิจที่ถูกลง
ในการบริหารธุรกิจหลายครั้งผู้บริหารต้องเพิ่มทุนทั้งเพื่อใช้งานในระยะสั้น หรือเพื่อการลงทุนในระยะยาว การเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ ที่ไม่ใช่ใช้เงินของตนเองย่อมมีต้นทุนเกิดขึ้น เช่น ดอกเบี้ย การระดมทุนจากตลาดทุน เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยก็พบว่าแบรนด์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ เป็นที่รู้จักและให้การยอมรับในวงกว้างก็ส่งผลให้มีต้นทุนเหล่านี้ที่ต่ำกว่าธุรกิจที่ไม่มีแบรนด์ ซึ่งตัวเลขที่ให้ความหมายใกล้เคียงพลลัพธ์ข้อนี้เราได้ใช้ตัวเลขทางการเงินอย่าง WACC (Weighted Average Cost of Capital) ต้นทุนเฉลี่ยของกิจการ มาเป็นตัวบ่งชี้ความเร็งแรงในข้อนี้
เป็นอย่างไรบ้างคะ?
หากแบรนด์สามารถสร้างผลลัพธ์ทั้ง 3 ข้อนี้ได้
คุณผู้อ่านน่าจะเริ่มเห็นแล้วว่าแบรนด์ที่ดีนั้น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจได้จริง
และผลลัพธ์ทั้ง 3 ด้านนี้ควรเป็นทั้ง
✅ “เป้าหมาย” ของการกำหนดกลยุทธ์
และ
✅ “ตัวชี้วัด” ความสำเร็จของการสร้างแบรนด์
เพราะมันควรเป็นเรื่องเดียวกัน
ส่วนเรื่องของ การคำนวณมูลค่าแบรนด์จากทั้ง 3 ตัวชี้วัดนี้อย่างไร
ไว้มีโอกาสจะมาชวนคุยกันต่อนะคะ 😊
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ลูกค้าหายไปไหน? เข้าใจ Insight เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ได้นานขึ้น
- เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบรนด์เราสุขภาพดีแค่ไหน?
เริ่มต้นวัดสุขภาพแบรนด์ของคุณวันนี้
📌 นัดดู Demo หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อ:
คุณไนซ์ ยศวดี ถาวรกูล
📞 โทร. 094-528-3047
📧 อีเมล: [email protected]
ประเทศกำลังพัฒนา (Global South) กำลังนิยามการเติบโตทางเศรษฐกิจ, ความเป็นอยู่ที่ดี และการต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศในแบบของตนเอง ประเทศเหล่านี้กำลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงด้วยความสามารถในการปรับตัวสูง, การนำเทคโนโลยีมาใช้ และพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศของตนเอง คำว่า “Global South” คือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา มีลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่คล้ายคลึงกัน โดยมักมีรายได้ต่ำและความเหลื่อมล้ำสูง การชี้วัดด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพียงอย่างเดียวไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่ดีเสมอไป ประเทศเหล่านี้กำลังสร้างโอกาสอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการเติบโตผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม, หลีกเลี่ยงกระบวนการที่ล้าสมัย และสร้างวิธีการใหม่ในการก้าวหน้าเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และเทคโนโลยีดิจิทัล ประเทศกำลังพัฒนาจึงอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่จะนำทางในการสร้างศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและส่งเสริมผู้ประกอบการในเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น บล็อกเชนและแพลตฟอร์มดิจิทัล ช่วยให้สามารถสร้างระบบที่ครอบคลุมได้ เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียนหรือโครงสร้างพื้นฐานที่ผลิตโดยชุมชนได้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่นสามารถช่วยลดช่องว่างทางสังคมได้ และเมื่อเกิดความร่วมมือกันในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่ละประเทศสามารถแบ่งปันความรู้และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตนเองแนวทางนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเติบโตในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระดับโลกด้วยการนำเสนอโซลูชันที่สร้างสรรค์และยั่งยืนต่อความท้าทายร่วมกัน ในปี 2023 ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของ แอฟริกาใต้ซาฮาราจะเติบโตขึ้น 3.7% และเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะเติบโตขึ้น 5.1% ตัวอย่างประเทศที่เติบโตอย่างโดดเด่นได้แก่
ประเทศรวันดา: รู้จักในชื่อ “ซิลิคอนวัลเลย์” ของแอฟริกา กำลังส่งเสริมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและสีเขียว รวันดาเป็นตัวอย่างว่าเศรษฐกิจขนาดเล็กสามารถเป็นผู้นำในด้านการรวมกลุ่มและความยั่งยืนได้อย่างไร
ประเทศอินเดีย: อินเดียเป็นผู้นำระดับโลกด้านพลังงานแสงอาทิตย์และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะแบบดิจิทัล โดยกำลังสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกับแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน
ประเทศคอสตาริกา: คอสตาริกาซึ่งเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ติดอันดับสูงในดัชนีความเป็นอยู่ที่ดีของโลกอย่างสม่ำเสมอ
Credit:
- https://www.worldbank.org/en/news/press-release/2023/10/01/east-asia-and-pacific-sustained-growth-momentum-slowing
- https://www.afdb.org/en/news-and-events/press-releases/african-economic-outlook-2023-opportunities-abound-asian-investors-africa-experts-say-63011
- https://www.eastmojo.com/world/2023/07/10/the-global-south-is-on-the-rise-but-what-exactly-is-the-global-south/
- https://www.forbesafrica.com/contrarian/2023/02/20/rwanda-africas-silicon-valley/
- https://climatepromise.undp.org/what-we-do/where-we-work/costa-rica
- https://www.eqmagpro.com/solar-energy-india-has-an-ambitious-roadmap-for-global-leadership-eq/
คุณเคยเจอลูกค้าประเภทที่ซื้อครั้งเดียวแล้ว “หายเงียบ” ไปเลยไหม?
หลายครั้งที่ลูกค้าไม่พึงพอใจ แต่ไม่เคยบอกตรง ๆ พวกเขาอาจเลือกที่จะไม่กลับมาใช้บริการอีก และเปลี่ยนไปหาแบรนด์อื่นแทน โดยที่คุณไม่มีโอกาสได้รับฟังความคิดเห็น หรือรู้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน
การเข้าใจเสียงของลูกค้าอย่างแท้จริงจึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงและยั่งยืน
ทำไมการรักษาลูกค้าเก่าถึงสำคัญกว่าการหาลูกค้าใหม่?
งานวิจัยจาก Harvard Business Review เผยว่า:
- ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ สูงกว่าการรักษาลูกค้าเดิมถึง 5 เท่า
- ลูกค้าเก่า มีแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำ มากกว่าลูกค้าใหม่ถึง 3 เท่า
- กว่า 50% ของลูกค้าเก่า พร้อมที่จะแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบข้าง
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “ลูกค้าเก่า” ไม่ได้มีคุณค่าเพียงแค่ยอดขายในปัจจุบัน แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในระยะยาว
ทำไมแค่ Engagement ถึงไม่เพียงพอ?
หลายธุรกิจเชื่อว่าแค่การสร้าง Engagement กับลูกค้า เช่น การมีคอนเทนต์ดีๆ การตอบแชทเร็ว หรือการมีโปรโมชั่น ก็น่าจะเพียงพอแล้วในการสร้างความสัมพันธ์
แต่ในความเป็นจริง Engagement ไม่ได้สะท้อนระดับความพึงพอใจของลูกค้าเสมอไป
ลูกค้าอาจ “มีส่วนร่วม” กับแบรนด์ในเชิงผิวเผินชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะกลับมาซื้อซ้ำ หรือรู้สึกพึงพอใจในประสบการณ์ที่ได้รับ
การเข้าใจว่า “ลูกค้าคิดและรู้สึกอย่างไร” กับแบรนด์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และต้องมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่แม่นยำและต่อเนื่อง
SuperfansIndex.com: เครื่องมือวัดสุขภาพแบรนด์ยุคใหม่
เพื่อให้ธุรกิจสามารถวัดความพึงพอใจของลูกค้าได้แบบ Real-time
SuperfansIndex.com จึงถูกพัฒนาขึ้นในฐานะ Branding Tech ที่ช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมแบรนด์จากมุมมองของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
จุดเด่นของ SuperfansIndex.com :
✅ วัดระดับความพึงพอใจของลูกค้าแบบ Real-time
ทำให้รู้ถึงระดับความพึงพอใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ เมื่อลูกค้าเกิดความไม่พอใจ และสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
✅ บริหารภาพรวมแบรนด์ด้วย Brand Dashboard
ดูข้อมูลภาพรวมของแบรนด์ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว
✅ ทำให้ วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนได้จริง จากมุมมองของลูกค้า
ไม่ใช่แค่ “คิดว่าแบรนด์ดี” แต่คือ “รู้ว่าลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ดีจริงหรือไม่”
✅ ใช้ Insight เพื่อพัฒนากลยุทธ์รักษาลูกค้าได้อย่างตรงจุด
แปลงข้อมูลลูกค้าให้เป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้งานได้จริง ทั้งการพัฒนาโปรดักต์ การบริการ และการสื่อสารการตลาด
เสียงของลูกค้า = พลังที่ขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโต
ในยุคที่ทุกธุรกิจมีช่องทางให้เลือกมากมาย การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แบรนด์เข้าใจเขา” คือหัวใจสำคัญของการสร้างความจงรักภักดี
SuperfansIndex.com ช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าในเชิงลึกมากกว่าที่เคย
และแปลงเป็นกลยุทธ์เพื่อให้ลูกค้าไม่เพียง “กลับมา” แต่ยัง “บอกต่อ” ด้วยความภักดีอย่างแท้จริง
เริ่มต้นวัดสุขภาพแบรนด์ของคุณวันนี้
หากคุณไม่อยากให้ลูกค้าหายไปอย่างเงียบ ๆ
ถึงเวลาแล้วที่จะ “ฟัง” และ “เข้าใจ” ลูกค้าให้มากขึ้น
📌 นัดดู Demo หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
🌐 Website: www.superfansindex.com
📱 Line Official: @Baramizilab
📧 Email: [email protected]
INNOVATION UPDATE:
Plant Extinction Freeze or Force: อนาคตถ้าพืชจะสูญพันธุ์ เราเลือกเก็บ หรือปล่อยให้ปรับตัว
The Svalbard Global Seed Vault ตั้งอยู่ในหมู่เกาะ Svalbard ของนอร์เวย์ ทำหน้าที่เก็บรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพรรณทั่วโลก คลังรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งนี้เริ่มเปิดทำการเมื่อปี 2008 และมีการรับฝากเมล็ดพันธุ์จากทั่วโลก โดยเฉพาะในปี2024 มีการฝากเมล็ดพันธุ์จำนวนมากที่สุดในรอบ 16 ปี เมล็ดพันธุ์ทั้งหมดจะถูกเก็บรักษาในถุงพิเศษที่ทนต่อความชื้นและเก็บในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิต่ำถึง -18 องศาเซลเซียส เพื่อให้พืชอยู่ในสภาวะหลับใหลเป็นเวลานาน ด้วยเป้าหมายที่จะป้องกันการสูญพันธุ์ของพืชสำคัญจากภัยพิบัติ ภาวะโลกร้อน และโรคจากพืช แต่ภารกิจของคลังนี้ก็ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่าเราควรจะเน้นการรักษาพืชพันธุ์ที่มีอยู่ หรือปล่อยให้พืชปรับตัวและวิวัฒนาการตามธรรมชาติเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก
การวิวัฒนาการเป็นกระบวนการที่พืชและสิ่งมีชีวิตใช้ในการปรับตัวและพัฒนาคุณลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การปล่อยให้พืชวิวัฒนาการสามารถช่วยให้ได้พืชชนิดใหม่ที่ทนทานยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยการแทรกแซงจากมนุษย์ และอาจสร้างพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น เช่นเดียวกับพืชบางชนิดที่มีความทนทานต่อภาวะสุดขั้วทางสภาพอากาศ เช่น พืชในทะเลทรายหรือพืชที่สามารถทนความเค็มได้ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งแนวทาง เพื่อให้การเก็บรักษาและวิวัฒนาการทำร่วมกันได้ การช่วยให้พืชวิวัฒนาการ หรือ Assisted Evolution เช่น การเลือกสายพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมใหม่ จะเป็นการผสมผสานระหว่างการรักษากับการปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน อีกทางเลือกหนึ่งคือการปรับคลังเมล็ดพันธุ์ให้เป็นแบบไดนามิก (Dynamic Seed Vaults) โดยมีการเก็บรักษาทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ที่วิวัฒนาการใหม่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะสร้างความหลากหลายของตัวเลือกสำหรับอนาคตให้กับการเกษตร
แต่นอกเหนือการถกเถียงเชิงชีววิทยาเรื่องการควรเก็บหรือไม่ควร ในปี 2017 คณะผู้แทนเกษตรกรชาวเกชัว (Quechua) จากเทือกเขาแอนดิสในประเทศเปรู ได้เดินทางเพื่อนำเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งพื้นเมืองที่คนในท้องที่เคารพบูชามาฝากยังคลัง ซึ่งพวกเขามองว่าคลังแห่งนี้เป็นผู้พิทักษ์ทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ และมรดกทางวัฒนธรรม เชื่อมโยงทั้งวิทยาศาสตร์และมรดกทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ ซึ่งในต่อมาในปี 2018 ได้เกิดเป็นโปรเจคอย่าง Svalbard Seed Cultures Ark ที่เพิ่มมิติด้านการจัดเก็บงานศิลปะที่ยังมีหลักของแนวคิดที่เชื่อมโยงกับการเก็บรักษาเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า
INNOVATION UPDATE :
School of Wisdom: ภูมิปัญญาที่ซับซ้อน สอนกันได้หรือไม่?
อนาคตที่ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติมีความก้าวหน้ามากขึ้น คาดว่างานหลายล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะงานด้านการบริหาร จะหายไปภายในปี 2027 ภาระงานที่ใช้การทำซ้ำหรือใช้ข้อมูล จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ แล้วสิ่งใดคืออาวุธของมนุษย์ในการต่อสู้กับตลาดเเรงงานที่มีคู่แข่งหน้าใหม่เหล่านี้ สิ่งนั่นคือ ภูมิปัญญา (Wisdom) ซึ่งแตกต่างจากความรู้ (Knowledge) หรือสติปัญญา (Intelligence) ภูมิปัญญาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางจริยธรรม ความเห็นอกเห็นใจ และการตัดสินใจที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นทักษะที่ปัญญาประดิษฐ์เลียนแบบได้ยาก (หรืออาจได้ในอนาคตอันใกล้)
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการนี้ แนวคิดของ “โรงเรียนแห่งภูมิปัญญา” จึงเกิดขึ้น การศึกษาที่เน้นภูมิปัญญาจะปลูกฝังการใช้เหตุผลทางจริยธรรม ความตระหนักทางวัฒนธรรม และสติปัญญาทางอารมณ์ เพื่อเตรียมนักเรียนให้เผชิญกับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเข้าใจ และความยืดหยุ่น การนำเครื่องมือดิจิทัล เช่น การจำลองด้วย AI, VR มาใช้ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์เสมือนจริงในสถานการณ์ที่ต้องใช้การตัดสินทางจริยธรรม และการแก้ปัญหาหลายแง่มุม ตั้งแต่ปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงปัญหาส่วนตัวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
กรณีศึกษาแนวคิดอนาคตของการเรียนรู้ภูมิปัญญา
- Finland’s Phenomenon-Based Learning: การเรียนรู้ตามปรากฏการณ์ของฟินแลนด์สอนผู้เรียนผ่านสหวิทยาการ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และความเห็นอกเห็นใจโดยการตรวจสอบปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง
- Singapore’s Charactezenship Education (CCE): ใช้เนื้อหาการสอนจริยธรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เน้นย้ำถึงคุณค่า ความเห็นอกเห็นใจ และความยืดหยุ่น ฝึกผู้เรียนให้สามารถรับมือกับความซับซ้อนทางสังคมได้
- Japan’s Wisdom Academy: ใช้ปรัชญาแบบผสมผสานกับเทคโนโลยี โดยใช้สภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อสอนเรื่องการใช้สติ, ความอดทน และการเชื่อมต่อกับสิ่งรอบตัว
- Silicon Valley’s AI Ethics Lab: เสนอการฝึกอบรมด้านจริยธรรมสำหรับนักพัฒนาเทคโนโลยี โดยใช้การจำลองเพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจผลกระทบทางสังคมของผลงานที่ตนสร้างสรรค์
- UNESCO’s Global Citizenship Education (GCED): ใช้ VR ช่วยให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับปัญหาระดับโลก สร้างความเห็นอกเห็นใจ และความตระหนักทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพลเมืองโลกในอนาคต
การถ่ายทอดภูมิปัญญาช่วยให้คนรุ่นต่อไปสามารถรับมือกับความท้าทายทางสังคมและซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น แต่ในทางปฏิบัติถือเป็นเรื่องท้าทาย จำเป็นต้องมีระบบ และทรัพยากรจำนวนมากเพื่อฝึกอบรมครูที่มีความสามารถในการถ่ายทอดความสามารถที่เป็นนามธรรมให้มีความเที่ยงตรงไม่เอนเอียง และมีความสากลเพียงพอสำหรับการปรับใช้ของผู้เรียนในบริบทสังคมโลก
Credit:
- World Economic Forum. “The Future of Jobs “
- Sahlberg, P., & Hasak, J. (2022). “Rethinking Finnish Educational Thinking through Real-World Learning.” Educational Reform Journal.
- Tan, C., & Ho, J. (2023). “Values and Skills for the Future: The Evolution of Character and Citizenship Education in Singapore.” International Journal of Civic Education.
- Sugimoto, Y. (2024). “Bridging Philosophy and Technology: The Wisdom Academy’s Innovative Approach.” Asian Educational Review.
- Borenstein, J., & Howard, A. (2023). “Ethics by Design: Training the Next Generation of AI Developers.” Journal of Technology and Society.
- UNESCO. (2023). “Global Citizenship Education for a Sustainable World.”
หลังจากการเลือกตั้งประธานธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา โลกได้รู้ว่าผู้นำคนต่อไปของประเทศพี่ใหญ่ของโลก คือ โดนัล ทรัมป์ การหวนคืนทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกาในหลายด้าน ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่าการขยับตัวของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกย่อมสะเทือนไปทั้งโลก วันนี้เราจะมารีวิวหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือด้านสิ่งแวดล้่อม
วิกฤตสภาพภูมิอากาศและนโยบายทางด้านเศรษฐกิจสีเขียวของสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเด็นที่อาจได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายจากการเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยของทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้เคยบอกว่าความพยายามในการส่งเสริมพลังงานสีเขียวเป็น “การหลอกลวง” มีการคาดการณ์ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจาก “ข้อตกลงปารีส” (Paris Agreement) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทรัมป์เองเคยออกจากข้อตกลงปารีสในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
ข้อตกลงปารีสจัดทำขึ้นเมื่อปี 2015 มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) ภายในปี 2050
โดนัลด์ ทรัมป์ มีมุมมองว่า ภายใต้กรอบข้อตกลง ยังมีประเทศที่ไม่ทำตามเป้าหมาย เช่น ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับหนึ่งอย่างจีน หรือประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ยังบรรลุตามเป้าหมายไม่ได้ เหตุใดสหรัฐฯ จะต้องทำ
อีกนโยบายที่ไปให้สุดคือการมุ่งเน้นการสนับสนุนการผลิตพลังงานจากฟอสซิล เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สอดคล้องกับสโลแกนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง “Drill Baby Drill” ชูนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ และยังยกเลิกเครดิตภาษีคาร์บอน
อีกสิ่งที่ต้องจับตาคือ กฎหมายลดเงินเฟ้อ (The Inflation Reduction Act) ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นโครงการพลังงานสะอาดผ่านเงินช่วยเหลือ เงินกู้ และเครดิตภาษี ว่าจะถูกยกเลิกหรือไม่
โดยรวมนี่เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในด้านสิ่งแวดล้อม เพราะดูเหมือนว่า โลกเรากำลังขึ้นอยู่กับประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ผู้เขียน: พลวัฒน์ จูเจริญ
ในช่วงที่ผ่านมา กระแส “หมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นที่นิยมสูงมาก โด่งดังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก และมีแฟนๆ พร้อมต่อคิวเพื่อไปเห็นหมูเด้งตัวเป็นๆ วันนี้ผู้เขียนจะมาชวนผู้อ่านทุกท่านไปพบกับเทรนด์ของการออกแบบสวนสัตว์ในปี 2025 ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต
เมื่อเรามองตลาดสวนสัตว์ในภาพรวมระดับโลก ตลาดซึ่งรวม ธุรกิจพิพิธภัณฑ์ แหล่งประวัติศาสตร์ สวนสัตว์ และสวนสาธารณะ รวมกันแล้วประมาณการมีมูลค่า 24.93 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ในปี 2024 และคาดการณ์ว่าในปี 2029 จะมีมูลค่า 52.06 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ด้วยอัตราการเติบโตทบต้นอยู่ที่ 15.88%
แนวโน้มของสวนสัตว์ในปี 2025 คาดว่าจะสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี การอนุรักษ์ และความคาดหวังของผู้เข้าชมที่พัฒนาไป สวนสัตว์ยุคใหม่จะเน้นด้านการศึกษา การอนุรักษ์สัตว์ป่า และประสบการณ์เชิงโต้ตอบมากกว่าการจัดแสดงแบบดั้งเดิม ซึ่งมีแนวโน้มสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ดังนี้:
1. ประสบการณ์ดิจิทัลเสมือนจริง (Immersive Digital Experiences)
- สวนสัตว์นำเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าดื่มด่ำมากขึ้น ให้ผู้เข้าชมได้พบปะกับสัตว์ที่อาจไม่มีตัวจริงในสวนสัตว์ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้การเรียนรู้แบบโต้ตอบ ผู้เข้าชมสามารถเห็นพฤติกรรมสัตว์ในธรรมชาติหรือ “ท่องเที่ยว” ไปยังถิ่นที่อยู่ธรรมชาติของพวกมันได้ ไอเดียนี้เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม ในขณะเดียวกันยังลดความจำเป็นในการจัดแสดงสัตว์จริงบางชนิดที่มีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์
2. การมุ่งเน้นที่การอนุรักษ์และสวัสดิภาพสัตว์
- สวนสัตว์หลายแห่งกำลังพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของ การอนุรักษ์สัตว์ป่า และ การช่วยเหลือสัตว์ แทนที่จะมุ่งเน้นเฉพาะสัตว์แปลกใหม่เพียงอย่างเดียว สวนสัตว์จึงทำงานร่วมกับองค์กรสัตว์ป่าและการอนุรักษ์ในท้องถิ่นเพื่อช่วยฟื้นฟูและปล่อยสัตว์ป่าพื้นเมือง เน้นสวัสดิภาพสัตว์และการอยู่รอดของสายพันธุ์ ผู้เข้าชมมองว่าสวนสัตว์เป็นพันธมิตรในการอนุรักษ์มากกว่าความบันเทิง ส่งเสริมการสนับสนุนการจัดการสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน
3. พื้นที่การเรียนรู้เชิงโต้ตอบ (Interactive Learning Spaces)
- สวนสัตว์กำลังพัฒนานิทรรศการ การศึกษาเชิงโต้ตอบ (Interactive Educational Exhibits) ซึ่งผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้ผ่านการจัดแสดงดิจิทัล และการเวิร์กช็อป เช่น โมเดลกายวิภาคของสัตว์ การให้อาหารสัตว์ และการพูดคุยกับผู้ดูแลสัตว์ สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ ทำให้การเยี่ยมชมสวนสัตว์มีความหมายและน่าจดจำมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกวัย
4. การปรับปรุงกรงสัตว์ให้เหมือนกับที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ
- กรงสัตว์ถูกออกแบบให้คล้ายกับที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์มากขึ้น ช่วยให้สัตว์แสดงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติได้มากขึ้น โดยใช้การออกแบบ สภาพแวดล้อมที่เลียนแบบธรรมชาติ (Bio-mimicry enclosures) และกรงที่กว้างขวาง ช่วยให้สัตว์มีสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย ช่วยให้มาตรฐานสวัสดิภาพดีขึ้น และสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้เข้าชมในเรื่องการดูแลสัตว์อย่างมีจริยธรรม
5. การมุ่งเน้นไปที่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์และความหลากหลายทางชีวภาพ
- สวนสัตว์หลายแห่งมุ่งเน้นไปที่ โปรแกรมการเพาะพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ทำงานร่วมกับองค์กรการอนุรักษ์ทั่วโลกเพื่อสร้างธนาคารพันธุกรรมและมีส่วนร่วมในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้เองจะส่งผลกระทบให้มีการสนับสนุนเป้าหมายความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก และย้ำบทบาทของสวนสัตว์ในการอนุรักษ์สายพันธุ์
6. สวนสัตว์ที่ไร้สัตว์จริง (Animal-Free Zoos and Sanctuaries)
- สวนสัตว์บางแห่งเปลี่ยนไปสู่การจัดแสดง ที่ไม่มีสัตว์จริง ซึ่งสัตว์ใกล้สูญพันธุ์จะถูกจัดแสดงผ่านเทคโนโลยี VR และโฮโลแกรมขั้นสูง แนวคิดนี้ช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์โดยที่สัตว์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสวนสัตว์จริง ดึงดูดผู้ที่สนับสนุนสวัสดิภาพสัตว์และลดความจำเป็นในการขนย้ายสัตว์จริง ในขณะเดียวกันยังคงให้การศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ
7. โปรแกรมวิทยาศาสตร์ประชาชน (Citizen Science) และการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมในการวิจัย
- สวนสัตว์มีโปรแกรม วิทยาศาสตร์ประชาชน (วิทยาศาสตร์ที่เปิดให้ประชาชนในสาธารณะร่วมทำวิจัย) ซึ่งผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วมในโครงการวิจัยสัตว์ป่าได้แบบเรียลไทม์ เช่น การติดตามการอพยพของนก หรือการตรวจสอบผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อสัตว์ท้องถิ่น ช่วยให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในงานวิจัยการอนุรักษ์โดยตรง ช่วยเพิ่มมูลค่าการศึกษาและการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
8. การจัดการสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์ด้วยข้อมูล
- สวนสัตว์ใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อติดตามสุขภาพสัตว์ คาดการณ์ความต้องการพฤติกรรม และจัดการความพยายามในการอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์ในกรงเพื่อบันทึกปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพสัตว์ ปรับปรุงการดูแลสัตว์และการจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งให้ข้อมูลสำหรับการอนุรักษ์ที่กว้างขึ้น
ถึงแม้กระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะทำให้หน่วยงาน Peta (People for the Ethical Treatment of Animals) องค์กรเพื่อสิทธิสัตว์ออกโรงมาให้ความเห็นว่า “สวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังแสวงหาผลกำไรจากเธอ (ฮิปโป) โดยจัดแสดงเธอเหมือนเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจ ที่อยู่ของฮิปโปคือในป่า คว่ำบาตรสวนสัตว์”
อย่างไรก็ตามเหรียญมี 2 ด้าน สวนสัตว์คงไม่ใช่ผู้ร้ายไปเสียทุกเรื่อง สิ่งสำคัญคือการปรับตัวของสวนสัตว์ที่ให้ความสำคัญกับมนุษยธรรม การอนุรักษ์ และการใช้เทคโนโลยี สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานจริยธรรมและความคาดหวังของผู้เข้าชม สวนสัตว์ที่ปรับตัวสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการศึกษา ความยั่งยืน และการอนุรักษ์ มีแนวโน้มจะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะมากขึ้น และมีบทบาทสำคัญในความพยายามด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก
ที่มา:
nationalzoo.si.edu
Fitness is Edible: เมื่อความฟิต เรากินได้
ผู้คนจำนวนมากขึ้นกำลังมองหาวิธีที่สะดวกสบายในการรักษาสุขภาพโดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการออกกำลังกายแบบเดิมๆ สอดคล้องกับกระแสสำคัญในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ
ศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคตบารามีซี่ แล็บ ได้ศึกษาหาข้อมูลพบว่า ตลาดการดูแลสุขภาพทั่วโลกซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนจำนวนมากขึ้นแสวงหาผลิตภัณฑ์ และบริการที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่าย และเข้าถึงได้มากขึ้น การจัดการน้ำหนักเป็นพื้นที่สำคัญในภาคส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการคาดการณ์ว่าประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกอาจมีน้ำหนักเกินภายในปี 2035 ส่งผลให้ยาลดน้ำหนัก และอาหารเสริมได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น
อนาคตเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์จาก Aarhus University ในประเทศเดนมาร์ก ได้พัฒนาตัวยาที่จำลองการเผาผลาญเทียบเท่าการวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรได้ หรือจะเรียกว่า “ยาออกกำลังกาย” ภายในบรรจุโมเลกุลที่เรียกว่า ‘LaKe’ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างแลคเตต (Lactates) และคีโตน (Ketones) ที่เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง หรือขณะอดอาหาร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญไขมัน, ผลิตพลังงาน และการควบคุมความอยากอาหาร คุณสมบัติเหล่านี้ ไม่เหมือนยาเพิ่มการเผาผลาญทั่วไป เช่น คาเฟอีน หรือสารสกัดจากชาเขียวที่จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ความแตกต่างอย่างชัดเจนคือ ‘ยาเพิ่มการเผาผลาญ’ ทำงานโดยการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางเพื่อเพิ่มการใช้พลังงาน ในทางตรงกันข้าม ‘ยาออกกำลังกาย’ เลียนแบบกระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกาย แม้วิทยาการจะโดดเด่นแต่ก็ไม่อาจทดแทนการออกกำลังกายจริงได้ ทั้งประโยชน์ด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด และการหายใจ แต่อาจส่งผลดีกับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้เนื่องจากข้อจำกัดทางร่างกาย อาการบาดเจ็บ หรือปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
แม้ในปัจจุบัน ‘ยาออกกำลังกาย’ จะอยู่ในขั้นการทดลอง แต่ก็มีแนวโน้มที่ดี เราอาจจะได้เห็นยาตัวนี้ในท้องตลาดในเร็ววัน เทคโนโลยีในยาตัวนี้จะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภค มีการตั้งคำถามถึงการเข้ามาแทนที่การออกกำลังทางกายภาพ แต่ก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากแนวโน้มการให้ความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสู่คนมีมากขึ้น ทำให้กิจกรรม, รูปแบบ หรือสถานที่ในการออกกำลังกายเป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สำคัญ ‘ยาออกกำลังกาย’ จึงอาจเป็นเพียงส่วนเสริมที่ทำให้ประสิทธิภาพของการดูแลสุขภาพดียิ่งขึ้น