ในหลายๆ ธุรกิจมักจะนึกถึงยอดขายที่จะทำให้รู้สึกว่าแบรนด์เรายังมีลูกค้าซึ่งก็ส่งผลต่อสุขภาพของแบรนด์ได้เช่นเดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วแบรนด์คุณอาจจะสุขภาพไม่ดีก็ได้ เหมือนร่างกายคนถ้าไม่ไปตรวจสุขภาพเราก็จะไม่รู้ว่าข้างในร่างกายเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ภายนอกเรายังรู้สึกปกติอยู่
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเกิดปัญหา และอาจส่งผลให้ปัญหานั้นลามใหญ่โตซึ่งต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการแก้ไข การวิจัยตรวจสอบสุขภาพแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์ควรจะทำอย่างต่อเนื่อง เปรียบเหมือนการเอ๊กซเรย์แบรนด์…เพราะหากรู้ก่อนย่อมสามารถแก้ปัญหาได้เร็วกว่า
จากภาพข้างต้นหากทุกแท่งมีฐานที่กว้าง การันตีได้เลยว่าแบรนด์คุณสุขภาพดี เพราะการลงงบไปกับสื่อหรือการสร้างประสบการณ์นั้นสามารถได้ใจลูกค้าจนเกิดความเป็น Superfans ได้ (ความเป็น Superfans ของแบรนด์ คือ ขั้นสุดที่แบรนด์ควรไปให้ถึงและเก็บให้ได้มากที่สุด หรือที่เราเรียกว่า สาวกของแบรนด์)
รูปแบบการตรวสอบสุขภาพแบรนด์ โดยทั่วไปสามารถพบได้ 3 รูปแบบ
1.การวิจัยเพื่อตรวจสอบรายปี
เหมาะสำหรับแบรนด์/ องค์กรที่มีการลงงบการตลาด การทำแคมเปญต่างๆ ในช่วงระหว่างปี เพื่อให้เราสามารถรู้ได้ว่ารูปแบบการตลาดต่างๆ ที่ลงงบไปนั้นกลุ่มลูกค้าเค้ารับรู้แบรนด์เราอย่างไรและสื่อที่ใช้มีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งเราสามารถใช้ข้อมูลนี้วางแผนสำหรับปีหน้าได้
2.การวิจัยเพื่อตรวจสอบในตลาดภาพรวม
เหมาะสำหรับแบรนด์/ องค์กรที่ต้องการ ที่ต้องการวัดประสิทธิภาพการสื่อสารแบรนด์ประจำปีกับตลาดในภาพรวม ซึ่งจะทำให้เรารู้ตำแหน่งในใจลูกค้าว่าเราอยู่อันดับที่เท่าไร
3.การวิจัยเพื่อตรวจสอบความรักของคนในองค์กร
เหมาะสำหรับแบรนด์/ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างพนักงานและมีหลายระดับของ Career Path ในองค์กร รวมถึงสามารถตรวจสอบวัฒนธรรมองค์กรได้ว่าเป็นอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลให้ทางทีมพัฒนาบุคคลมีเครื่องมือในการวางแผนพัฒนาคนต่อไป
แต่ด้วยผู้บริโภคมีทางเลือกในการเข้าถึง เข้าหาแบรนด์ได้หลากหลายมากขึ้น เพราะด้วยคู่แข่งของธุรกิจที่เราเองก็เลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยให้สอดรับกับธุรกิจยุคใหม่ และสามารถตรวจสอบสุขภาพแบรนด์ได้อย่งทันท่วงที
ถ้าหากพูดถึงเครื่องมือที่เราใช้กันอย่างคุ้นเคย อาทิ CRM CDP เป็นต้น ที่เราใช้เก็บข้อมูลลูกค้าและร่วมถึงมีการประเมินความพึงพอใจ หากแต่ว่าถ้าคุณต้องการเก็บข้อมูลและอยากรู้ว่าแบรนด์คุณมีคนรักมากแค่ไหน นอกจากนี้ใช้เป็น KPIs ให้กับคนทำงานแผนกต่างๆ ได้ ซึ่งจะทำให้คุณมีข้อมูลที่สามารถให้คะแนนกับคนที่อยู่ทั้งหน้างานและเบื้องหลังได้ และเป็นข้อมูลอย่างเป็นทางการ เครื่องมือที่เป็นตัวเลือกเดียว คือ Superfansindex.com การวิจัยตรวจสอบสุขภาพแบรนด์แห่งอนาคต
ผลลัพทธ์ที่ได้นั้นจะสามารถเข้าไปดูได้แบบ Realtime ในระบบ Superfansindex.com โดยรูปแบบการแสดงผล (Data Visualize) สามารถ Filter ดูได้ในหลากหลายรูปแบบ
โดยเครื่องมือนี้เหมาะกับ: เจ้าของร้าน/ เจ้าของธุรกิจ/ ผู้จัดการ/ ทีมการตลาด/ HR ที่ต้องการใช้ข้อมูลเชิงทางการในการประเมินการทำงาน รวมถึง KPIs การทำงาน
Superfansindex.com นี้ เป็นตัวชี้วัดให้กับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องใช้ข้อมูลทำงานต่อไป
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ Line OA: @baramizilab หรือ superfansindex.com
Sustainable Fashion หรือ แฟชั่นแบบยั่งยืนที่เคยเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในอุตสาหกรรมแฟชั่นโดยรวม กำลังได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วเนื่องจากผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมมากขึ้น ในปี 2024 ตลาดแฟชั่นยั่งยืนระดับโลกมีมูลค่า 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตถึง 33.1 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2033 ด้วยอัตรา CAGR 22.9% ในช่วงคาดการณ์ปี 2024 – 2033 แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ผลกระทบของแฟชั่นยั่งยืนกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากแบรนด์และผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างนำแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนเข้ามาใช้ในธุรกิจของตน การเพิ่มขึ้นของแบรนด์แฟชั่นยั่งยืน ร่วมกับการนำโครงการริเริ่มสีเขียวมาใช้โดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นแล้ว กำลังผลักดันตลาดให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมแรงหนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
อุตสาหกรรมแฟชั่นยั่งยืนมีโอกาสอีกมากมาย เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ต้องการความโปร่งใสในกระบวนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า นวัตกรรมในวัสดุยั่งยืน เช่น ผ้าฝ้ายออร์แกนิกและผ้าที่รีไซเคิล เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในขณะที่การนำรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ รวมถึงการเช่าเสื้อผ้าและแพลตฟอร์มขายเสื้อผ้ามือสอง ที่สอดรับกับตลาดที่กำลังเติบโตของการบริโภคอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ กฎระเบียบของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นซึ่งมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำลังกดดันให้บริษัทต่าง ๆ ต้องนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ยังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ รวมถึงการที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการผลิตอย่างยั่งยืน ซึ่งอาจนำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นและทำให้การเข้าถึงเป็นไปได้ยากขึ้น การเพิ่มขึ้นของสินค้าแอบอ้างว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยที่ไม่มีการปฏิบัติจริง ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสั่นคลอนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ทว่าความนิยมในแฟชั่นยั่งยืนจะยังคงเติบโตขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและพร้อมที่จะก้าวไปกับโลกยุคใหม่
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา:
ตลาด Food Delivery ในไทยปี 2567 ยังมีเทรนด์ที่ลดลงต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้มีการประเมินว่าในปี 2567 มูลค่าตลาด Food Delivery จะอยู่ที่ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท หรือหดตัว 1.0% จากปี 2566 แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารเฉลี่ยต่อครั้งน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น (Price per Order) ประมาณ 2.8% จากค่าเฉลี่ยในปี 2566 หรือ มีราคาเฉลี่ยประมาณ 185 บาทต่อครั้งของการสั่ง ซึ่งจะมีผลตามมาต่อทั้งจำนวนครั้งและปริมาณการสั่งให้ลดลง
ปัจจุบัน ตลาด Food Delivery ในหลายประเทศกำลังเผชิญกับแนวโน้มขาลงไม่ต่างจากประเทศไทย แม้ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเห็นการเติบโตชะลอตัวเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้บริการต้องปรับราคาให้สูงขึ้นเพื่อรักษากำไร ขณะที่ในญี่ปุ่น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการจัดส่งและการแข่งขันจากผู้เล่นหลายราย ทำให้บริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและกำไร
การเติบโตของตลาด Food Delivery ทั่วโลก
รายได้ในตลาดบริการจัดส่งอาหารออนไลน์คาดว่าจะสูงถึง 1.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR 2024-2029) ที่ 9.49% ส่งผลให้มีปริมาณตลาดที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.92 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2572
ภาคบริการจัดส่งอาหารออนไลน์ทั่วโลก ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 ถูกครองตลาดโดยผู้เล่นหลัก ได้แก่ DoorDash (สหรัฐอเมริกา), Zomato (อินเดีย), Grab (สิงคโปร์) และ Delivery Hero (เยอรมนี)
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดชะลอตัว
การชะลอตัวของตลาดบริการจัดส่งออนไลน์เริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วงเวลาหลังจากโลกเข้าสู่ภาวะปกติใหม่อีกครั้ง พบว่ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนอย่างมากมาย โดยผู้คนมีแนวโน้มที่จะ :
- เปลี่ยนมารับประทานอาหารนอกบ้าน: การเดินทางไปรับอาหารที่ร้านเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและได้รับประสบการณ์ออกนอกบ้าน
- ซื้ออาหารกลับไปที่บ้านเพื่อทาน: การซื้ออาหารมาที่บ้านเพื่อให้มีความสะดวกและประหยัด
- ประกอบอาหารเองที่บ้าน: การทำอาหารในบ้านเพื่อดูแลสุขภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการสั่งอาหารออนไลน์ที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดการชะลอตัว เช่น
- ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น: ค่าบริการส่งอาหารที่สูงขึ้นทำให้ผู้ใช้บริการลดลง
- คุณภาพของอาหารที่ได้รับไม่ตรงปก: ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของอาหารที่ไม่ได้รับตามที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรสชาติและหน้าตา
- ความล่าช้าในการส่งอาหาร: ปัญหาเกี่ยวกับเวลาการจัดส่งที่ล่าช้า
การแข่งขันและกลยุทธ์ของตลาด Food Delivery
ตลาด Food Delivery ได้มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างบริษัทและแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อแย่งฐานลูกค้าและส่วนแบ่งในตลาด ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีกลยุทธ์ทางธุรกิจหลายรูปแบบที่สามารถใช้เพื่อที่จะได้รับความนิยมและความไว้วางใจจากลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น
- การเสนอโปรโมชั่นและส่วนลด : ใช้โปรโมชั่นและส่วนลดเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าที่มีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คาดหวังว่าจะมีการสั่งอาหารมาก เช่น วันหยุด หรือช่วงเวลาที่มีงานเฉลิมฉลอง
- การพัฒนาแอปพลิเคชันและเทคโนโลยี : การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง เช่น การทำให้ระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความสะดวกสบายในการใช้บริการ : การมีการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจและเชื่อถือ
- การสนับสนุนลูกค้า : การให้บริการลูกค้าที่ดี รวมถึงการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนหรือปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- การตลาดและการโฆษณา : การใช้กลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาที่ชัดเจน เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มการรับรู้และความนิยมของบริการ Food Delivery
- การควบคุมคุณภาพ : การมีการควบคุมคุณภาพอาหารและการบริการที่ดี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ผลประกอบการของ Food Delivery เจ้าใหญ่ในประเทศไทย
บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ แกร็บ
ภาพรวม 4 ปี บริษัทแกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด รายได้ของปี 2566 เพิ่มขึ้นมากถึง 15,622,426,576 บาท โดยกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับในปีนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งผลให้บริษัทนี้สามารถกลับมาทำกำไรได้ในปี 2565 หลังจากขาดทุนในปี 2564
ผลประกอบการ
- ปี2563 ขาดทุนสุทธิ 284,280,850 บาท
- ปี2564 ขาดทุนสุทธิ 325,252,107 บาท
- ปี2565 กำไรสุทธิ 576,134,254 บาท
- ปี2566 กำไรสุทธิ 1,308,464,289 บาท
บริษัท ไลน์แมน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ไลน์แมน
ภาพรวม 4 ปี ไลน์แมน ยังมีปัญหาหารขาดทุนสุทธิสะสม เช่นกัน โดยในปี 2566 บริษัทมีภาวะการเงินที่ดีขึ้น โดยมีรายได้รวมสูงสุด 11,634 ล้านบาททำให้ผลประกอบการในปี 2566 ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 2,730 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 253ล้านบาท
ผลประกอบการ
- ปี2563 ขาดทุนสุทธิ 1,114,666,254 บาท
- ปี2564 ขาดทุนสุทธิ 2,386,522,457 บาท
- ปี2565 ขาดทุนสุทธิ 2,730,849,262 บาท
- ปี2566 ขาดทุนสุทธิ 253,806,613 บาท
บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ฟู้ดแพนด้า
ภาพรวม 4 ปี ฟู้ดแพนด้า ยังมีปัญหาหารขาดทุนสุทธิสะสม แต่ในปี 2566 บริษัทฟู้ดแพนด้า ประสบกับภาวะการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งปรากฏในผลกำไรสุทธิที่บวกเข้ากับสถานการณ์ของบริษัทหลังจากขาดทุนในปี 2565 ซึ่งตกต่ำลงจากปี 2564 และ 2563 ที่มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ผลประกอบการ
- ปี2563 ขาดทุนสุทธิ 3,595,901,657 บาท
- ปี2564 ขาดทุนสุทธิ 4,721,599,978 บาท
- ปี2565 ขาดทุนสุทธิ 3,255,107,979 บาท
- ปี2566 ขาดทุนสุทธิ 522,486,848 บาท
บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด หรือ โรบินฮู้ด
ภาพรวมในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โรบินฮู้ด ประสบปัญหาขาดทุนสุทธิมาต่อเนื่อง แม้ในปี 2566 จะมีรายได้รวมสูงสุดถึง 724,446,267 บาท จากการขายสินค้าและบริการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 538,245,295 บาท แต่ก็ยังมีรายจ่ายที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน
ผลประกอบการ
- ปี2563 ขาดทุนสุทธิ 87,829,231 บาท
- ปี2564 ขาดทุนสุทธิ 1,335,375,337 บาท
- ปี2565 ขาดทุนสุทธิ 1,986,837,776 บาท
- ปี2566 ขาดทุนสุทธิ 2,155,727,184 บาท
โดยล่าสุด บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCBX ได้แจ้งยุติการให้บริการแอปพลิเคชั่น Robinhood หนึ่งในฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่เคยได้รับความนิยมจากผู้บริโภค หลังจากประสบปัญหาขาดทุนสะสม 4 ปี รวมกันสูงถึง 5,565 ล้านบาท
ด้วยขนาดตลาด Food Delivery ในไทยที่ยังคงมีแนวโน้มลดลงในปี 2567 และผลกระทบจากการปรับตัวของตลาดทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน ผู้เล่นหลักในตลาดจึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่น่าจับตาว่าการแข่งขันในสมรภูมิ Food Delivery ของประเทศไทยจะดำเนินต่อไปอย่างไร และนโยบายของภาครัฐจะสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใดในอนาคต
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://www.posttoday.com/business/710520
https://www.facebook.com/thestandardwealth/videos/2766491230181237
https://www.thansettakij.com/business/economy/600219
Sustainable Dining หรือ การรับประทานอาหารอย่างยั่งยืนหมายถึงการเลือกอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม แนวทางการรับประทานอาหารนี้เน้นที่การบริโภคอาหารที่ผลิตและเตรียมในลักษณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น การรับประทานอาหารอย่างยั่งยืนอาจเกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติต่างๆ เช่น การเลือกส่วนผสมจากแหล่งท้องถิ่นและออร์แกนิก การลดขยะอาหาร การเลือกอาหารจากพืชและการสนับสนุนร้านอาหารและธุรกิจที่ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เป้าหมายหลักคือการสร้างระบบอาหารที่สามารถรักษาคนรุ่นต่อไปได้โดยไม่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหมดสิ้นหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศ โดยมูลค่าตลาดอาหารที่ยั่งยืนมีมูลค่า 1,066.2 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะถึง 1,945.38 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2032 โดยเติบโตที่อัตรา CAGR 6.91% ตั้งแต่ปี 2024-2032
แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่กว้างขึ้นสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้บริโภคและความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เมื่อการรับประทานอาหารที่ยั่งยืนกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น จึงมีศักยภาพที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของระบบอาหารได้อย่างมาก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพฤติกรรมการกินที่ดีต่อสุขภาพและมีจริยธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตามเทรนด์การรับประทานอาหารอย่างยั่งยืนยังคงมีความท้าทาย เช่น การรักษาสมดุลของต้นทุนของแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและการรักษาราคาอาหารให้เอื้อมถึงได้ แต่ก็ยังเป็นแนวโน้มที่มีทิศทางไปในด้านบวกและน่าจับตามองสำหรับ Future Foods
ผู้เขียน
นางสาว จินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://introspectivemarketresearch.com/reports/sustainable-food-market/
https://www.futuredatastats.com/sustainable-food-market
ในขณะที่เมืองทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นในการหาแหล่งอาหารที่ยั่งยืนก็มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม การทำเกษตรในเมือง ซึ่งเคยเป็นเพียงแค่แนวคิดเล็กๆ กำลังกลายเป็นขบวนการที่ทรงพลังซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เราคิดเกี่ยวกับการผลิตอาหารและการใช้ชีวิตในเมือง โดยการเปลี่ยนหลังคาอาคาร ที่ดินว่างเปล่า หรือแม้แต่ระเบียงเล็กๆ ให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่เจริญรุ่งเรือง การทำเกษตรในเมืองเสนอโซลูชั่นใหม่สำหรับการแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่เมืองสมัยใหม่กำลังเผชิญ
การทำเกษตรในเมืองคืออะไร
การทำเกษตรในเมือง หรือ Urban Farming คือ การปลูกอาหารภายในสภาพแวดล้อมของเมือง โดยมักใช้พื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แตกต่างจากการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้พื้นดินในชนบทอย่างกว้างขวาง การทำเกษตรในเมืองสามารถผสมผสานเข้ากับพื้นที่ของเมืองได้ ซึ่งอาจหมายถึงทุกอย่างตั้งแต่สวนชุมชนในที่ดินว่าง ไปจนถึงฟาร์มแนวตั้งบนด้านข้างของอาคารหรือระบบไฮโดรโปนิกส์ในห้องใต้ดิน
ประโยชน์ของการทำเกษตรในเมือง
- ความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การทำเกษตรในเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืน การผลิตอาหารในท้องถิ่นช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่เกิดจากการขนส่งผลผลิตในระยะทางไกล นอกจากนี้ ฟาร์มในเมืองมักใช้วิธีการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งช่วยลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยที่เป็นอันตราย ส่งผลให้สภาพแวดล้อมที่มีความสมบูรณ์และปลอดภัยยิ่งขึ้น
- การมีส่วนร่วมของชุมชนและผลกระทบทางสังคม
หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการทำเกษตรในเมือง คือ ความสามารถในการรวมชุมชนเข้าด้วยกัน สวนชุมชนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้พื้นที่ร่วมกันที่ชาวเมืองสามารถทำงานร่วมกัน เรียนรู้และปลูกพืชผักของตนเอง สวนเหล่านี้มักกลายเป็นศูนย์กลางของการพบปะสังสรรค์ สร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งและความสัมพันธ์ในหมู่คนเมือง
- โอกาสทางเศรษฐกิจ
การทำเกษตรในเมืองยังเป็นแหล่งการเจริญเติบโตทางเศรษญกิจอีกด้วย ตั้งแต่การสร้างงานในด้านการเกษตรและการผลิตอาหาร ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจัดตั้งธุรกิจใหม่ เช่น ตลาดการเกษตร การแปรรูปอาหารในท้องถิ่น และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในเมือง การทำเกษตรในเมืองนำเสนอความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย
- สุขภาพและโภชนาการ
การเข้าถึงอาหารสดและมีคุณค่าทางโภชนาการมักมีจำกัดในเขตเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีรายได้น้อย การทำเกษตรในเมืองช่วยแก้ไขปัญหานี้โดยการนำผลผลิตสดเข้ามาใกล้บ้านกับที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ทำให้สุขภาพและอาหารของคนในเมืองดีขึ้น และลดการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
- คุณค่าทางการศึกษา
ฟาร์มในเมืองยังสามารถทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการศึกษาได้อีกด้วย โดยมอบประสบการณ์การเรียนรู้จริงสำหรับคนทุกวัยเกี่ยวกับการเกษตร ความยั่งยืน และความสำคัญของการกิจอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรงเรียนได้นำการทำเกษตรในเมืองมาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับระบบอาหารและการดูแลสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่การทำเกษตรในเมืองต้องเจอกับความท้าทาย ข้อจำกัดด้านพื้นที่ ข้อบังคับการแบ่งโซนและราคาที่ดินสูงในเมือง อาจทำให้การตั้งและรักษาฟาร์มในเมืองเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ยังมีความท้าทายทางเทคนิค เช่น การปนเปื้อนของดินในพื้นที่เมือง ซึ่งอาจทำให้วิธีการทำเกษตรแบบดั้งเดิมใช้ไม่ได้ผล
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการออกแบบกำลังช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ การทำฟาร์มแนวตั้ง การไฮโดรโปนิกส์ และอควาโปนิกส์ เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่าการทำเกษตรในเมืองสามารถปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเมืองได้อย่างไร เมื่อเมืองเติบโตขึ้นและความต้องการอาหารในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น การทำเกษตรในเมืองมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศน์เมืองในการสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่น สุขภาพดี และมีชีวิตชีวาต่อไป
ผู้เขียน
นางสาว จินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://www.salika.co/2018/05/17/urban-farming/
https://www.rakbankerd.com/agriculture/hilight-view.php?id=172&s=tblheight
อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก ซึ่งขับเคลื่อนโดยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้น การเติบโตนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป โดยคาดว่าอุตสาหกรรมจะขยายตัวด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 7.4% ตั้งแต่ปี 2023 ถึงปี 2030 ตามข้อมูลของมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2023 ที่ 303 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ The Bolen Group ยอดขายผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงเติบโตเร็วกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขายเร็วประเภทอื่นๆ ถึง 3 เท่า และกลุ่มการค้าอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดคาดว่ารายได้ของอุตสาหกรรมจะเติบโตเกือบ 3% ในปี 2024
ตามข้อมูลของ Human-Animal Bond Research Institute เจ้าของสัตว์เลี้ยง 98% บอกว่าสัตว์เลี้ยงเป็นส่วนสำคัญของครอบครัว 87% บอกว่าพวกเขาประสบกับการปรับปรุงสุขภาพจิตจากการมีสัตว์เลี้ยง และ 76% บอกว่าสุขภาพส่วนบุคคลของพวกเขาดีขึ้นเพราะสัตว์เลี้ยง กระแสของการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นอกจากนี้อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงขับเคลื่อนโดยปัจจัยสำคัญหลายประการ ประการแรก การให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นทำให้มีการใช้จ่ายที่สูงขึ้น เนื่องจากสัตว์เลี้ยงถือเป็นสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น แนวโน้มนี้กระตุ้นให้มีความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม อาหารเสริม และบริการดูแลเฉพาะทาง ประการที่สอง การเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่อายุน้อยที่ไม่อยากมีลูก ทำให้ตลาดขยายตัว และความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของสัตว์เลี้ยง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น อุปกรณ์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ล้วนเป็นแรงผลักดันให้การเติบโตนี้เกิดขึ้น
อาหารสัตว์ระดับพรีเมียมเป็นหนึ่งในสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง เนื่องจากสัตว์เลี้ยงถูกมองว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น จึงมีความต้องการอาหารที่มีคุณภาพสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น วิตามิน โพรไบโอติก และผลิตภัณฑ์ CBD กำลังกลายมาเป็นส่วนประกอบสำคัญของกิจวัตรการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง
บริการดูแลสัตว์เลี้ยง เช่น การดูแลสัตว์เลี้ยง การดูแลระหว่างวัน การฝากเลี้ยง และการฝึกสัตว์เลี้ยงกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เจ้าของสัตว์เลี้ยงต่างต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของตนมีสุขภาพดีและได้รับการดูแลในช่วงที่ตนเองไม่อยู่ การที่วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่ยุ่งวุ่นวายทำให้ต้องพึ่งพาบริการเหล่านี้มากขึ้น โดยเฉพาะเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาจไม่มีเวลาหรือพื้นที่ในการดูแลสัตว์เลี้ยงของตนอย่างเหมาะสม
เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง โดยผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เชื่อมต่อได้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ซึ่งรวมถึงปลอกคออัจฉริยะ เครื่องติดตาม GPS เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ และกล้องสำหรับสัตว์เลี้ยง มอบความสะดวกสบายและความอุ่นใจให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบสุขภาพและพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งสามารถใช้เพื่อปรับแต่งการดูแลและปรับปรุงความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย
และเนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านสัตวแพทย์เพิ่มขึ้น ประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยงจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องพิจารณามากขึ้นตาม มีเจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมากตระหนักถึงคุณค่าของประกันในการจัดการกับค่าใช้จ่ายด้านสัตวแพทย์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาวะเรื้อรังและภาวะฉุกเฉิน
อนาคตของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงนั้น เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายส่วน เมื่อสัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากขึ้น ความต้องการอาหาร บริการ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ธุรกิจที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มเหล่านี้และให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความสะดวกสบาย และนวัตกรรมของสัตว์เลี้ยง จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะประสบความสำเร็จในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้และมอบโอกาสมากมายสำหรับการเติบโตและพัฒนาในปีต่อๆ ไป
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี
ที่มา
https://www.marketingoops.com/reports/behaviors/pet-parent/
Generation Alpha คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 2010 ถึง 2025 โดยพวกเขาเป็นรุ่นแรกที่เกิดในศตวรรษที่ 21 และเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และฐานะทางการเงิน พวกเขาถูกเรียกว่า “มินิมิลเลนเนียล” และด้วยอัตราการเกิดที่มากกว่า 2.5 ล้านคนต่อสัปดาห์ ทำให้กลุ่มนี้เติบโตแซงหน้า Gen Z อย่างรวดเร็วในฐานะเจเนอเรชั่นที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายที่สุดในโลก โดยคาดว่าภายในปี 2025 จะมีกลุ่มเจนอัลฟ่าทั่วโลกถึง 2 พันล้านคน แม้ว่าปัจจุบันพวกเขาเหล่านี้จะยังเป็นเด็กก็ตาม
เจนอัลฟ่าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเทคโนโลยีและผู้สร้างเนื้อหากลุ่ม Gen Z ที่มีอิทธิพลต่อสื่อของพวกเขา นอกจากนี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีผลกระทบอย่างมากต่อบุคลิกและค่านิยมของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้รับการขนานนามว่าเป็น “Gen C” หรือ “Generation COVID” เนื่องจากชีวิตของพวกเขาได้รับผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และจิตวิทยา เหตุการณ์เหล่านี้จะทิ้งร่องรอยยาวนานไว้กับเจเนอเรชั่นนี้ ทำให้พวกเขามีความสำคัญต่อครอบครัวมากขึ้น และมองว่าการทำงานจากที่บ้านเป็นเรื่องปกติ
เมื่อพูดถึงพฤติกรรมการบริโภคของเจเนอเรชั่นอัลฟ่า พวกเขามีแนวโน้มจะให้ความสำคัญกับการซื้อสินค้าจากบริษัทที่มีความเป็นดิจิทัลสูง เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาหน้าจอมากกว่ารุ่นก่อน ๆ และมีความเชี่ยวชาญในการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งการระบาดของโรคและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงที่ผ่านมาได้เร่งให้เจนอัลฟ่าพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสื่อสารกับผู้คนมากขึ้น ซึ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่จะอธิบาย ลักษณะสำคัญของคนเจนนี้ได้เป็นอย่างดี
- มีการศึกษาที่สูงขึ้น: คาดว่าจะเป็นคนรุ่นที่มีการศึกษาสูงที่สุดเนื่องจากเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลได้ง่ายทำให้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกได้ลึกซึ้งมากกว่าคนรุ่นก่อน
- การบูรณาการเทคโนโลยี: บูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น โดยที่ AI เป็นส่วนสำคัญของความเป็นจริง มีทักษะด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่าพ่อแม่และไม่เคยได้สัมผัสโลกที่ไม่มีเทคโนโลยี
- การเรียนรู้ส่วนบุคคล: คุ้นเคยกับการเข้าถึงข้อมูลในทันที ดังนั้นการบรรยายและรูปแบบการเรียนรู้แบบเก่าๆ นั้นจะเริ่มล้าสมัยสำหรับพวกเขา และชอบประสบการณ์การเรียนรู้ส่วนบุคคลและการศึกษาออนไลน์
- การโต้ตอบทางโซเชียลมีเดีย: ใช้โซเชียลมีเดียเป็นรูปแบบหลักในการโต้ตอบกับผู้อื่นแต่ก็เป็นดาบสองคมสำหรับสิ่งนี้ คือ ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว การกลั่นแกล้งทางออนไลน์และการได้รับการยอมรับทางสังคม
- การให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าของ: ไม่สนับสนุนเศรษฐกิจแบบแบ่งปันซึ่งแตกต่างจากเจนก่อนหน้าค่อนข้างมาก คนเจนนี้ชอบที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินมากกว่าเช่าเอา
- เคร่งศาสนาน้อยลง: ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะท้าทายกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคมมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ จึงทำให้มีความเชื่อทางศาสนาน้อยลง และท้าทายบรรทัดฐานทางสังคมมากขึ้น
- เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา: ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอยู่เกือบตลอดเวลา พวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นปัจเจกชนมากกว่าคนรุ่นก่อนหน้า ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้
- พลวัตของสถานที่ทำงาน: จะเป็นกลุ่มแรงงานที่ใหญ่ที่สุด สนับสนุนเทคโนโลยีมากกว่าการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ แนวทางการทำงานและการแก้ปัญหาของพวกเขาจะแตกต่างจากคนรุ่นอื่นๆ ด้วยการเติบโตมาพร้อมกับแหล่งความคิดที่หลากหลายและเปิดกว้างกว่า
นอกจากความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากลักษณะของคนเจเนเรชั่นอัลฟ่าแล้วนั้น คำพูดหรือแสลงของคนเจนนี้ก็แตกต่างกับคนรุ่นก่อนๆ และกำลังเป็นเทรนด์หนึ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ คือศัพท์ฮิตติดปากของเจนอัลฟ่า (Gen Alpha, Generation Alpha) ยกตัวอย่าง เช่น
- Skibidi หมายถึง สถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี สิ่งชั่วร้าย หรืออะไรที่มีความหมายเชิงลบ
- Rizz หมายถึง ความสามารถพิเศษ โดยเฉพาะในด้านความมีเสน่ห์ ความเจ๋ง หรืออะไรก็ตามที่บ่งบอกถึงสไตล์ การดึงดูดให้คนหลงใหล หรือความฮอต
- Ohio หมายถึง นำมาใช้กับเรื่องที่แปลก ไม่ว่าจะเป็นความแปลกประหลาด หรือความน่ากลัว
- Sigma หมายถึง คนที่โดดเด่น เป็นผู้นำ และมีลักษณะที่ดูสันโดษเบาๆ มีความหมาป่าเดียวดาย มีความเท่และป๊อปปูลาร์
สิ่งเหล่านี้ได้บ่งบอกเกี่ยวกับพฤติกรรมและลักษณะของเจเนเรชั่นอัลฟ่าที่แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนๆ เพราะบทบาทจากเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันตั้งแต่ยังเด็กทำให้มุมมองที่มีต่อโลกกว้างขวางเป็นอย่างมาก ร่วมถึงการที่ต้องเติบโตในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้คนในรุ่นนี้ที่แนวโน้มที่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นผ่านเทคโนโลยีมากกว่า และในอนาคตอันใกล้นี้เจเนเรชั่นนี้จะกลายเป็นกลุ่มคนที่เยอะที่สุดและมีอิทธิพลต่อทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://talkatalka.com/blog/gen-alpha-insight/
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/104587
Personalized Nutrition หรือ โภชนาการส่วนบุคคล เป็นแนวทางใหม่ที่ปรับคำแนะนำด้านโภชนาการและการแทรกแซงให้เหมาะกับองค์ประกอบทางพันธุกรรม ไลฟ์สไตล์ ไมโครไบโอม และข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของแต่ละบุคคล ปัจจุบันตลาดโภชนาการส่วนบุคคลทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล จากการวิจัยตลาดของ Zion พบว่าขนาดตลาดโภชนาการส่วนบุคคลทั่วโลกมีมูลค่า 15,330 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตถึง 38,520 ล้านดอลลาร์ในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นประมาณ 10.78% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2032
เมื่อมองไปยังอนาคต ธุรกิจด้านโภชนาการส่วนบุคคลมีแนวโน้มที่จะซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วยการผสานรวมกับปัญญาประดิษฐ์และช่วยให้สามารถให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่แม่นยำมากขึ้น ประโยชน์ของโภชนาการส่วนบุคคลนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะมอบผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้น การป้องกันโรคและความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายของแต่ละบุคคลตอบสนองต่ออาหารประเภทต่างๆ อย่างไร ทว่าแนวทางดังกล่าวก็ยังมีความท้าทายอยู่บ้างจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความเสี่ยงต่อข้อมูลที่อาจผิดพลาดและการเข้าถึงกลยุทธ์โภชนาการส่วนบุคคลสำหรับกลุ่มคนทั่วไป ในขณะที่สาขานี้ยังคงพัฒนาต่อไป การสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์กับการพิจารณาทางจริยธรรมจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าโภชนาการเฉพาะบุคคลจะกลายเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการปรับปรุงสุขภาพของประชาชนในวงกว้างและเป็นหนึ่งในเทรนด์ Future Food ที่น่าจับตามอง
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ในสุนทรพจน์วันชาติของประเทศสิงค์โปร์ นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ได้แสดงความขอบคุณต่อผู้นำในอดีต และเน้นย้ำถึงความสำคัญของความรอบคอบและความกล้าหาญในการนำทางอนาคตของสิงคโปร์ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันกันเองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่มีผลกระทบต่อประเทศสิงค์โปร์ที่ต้องพึ่งพาทั้งสองประเทศในเรื่องของการค้าขาย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น AI และผลกระทบที่มีต่อวิธีการทำงานและเรียนรู้และได้เตือนถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และความจำเป็นในการลดการปล่อยคาร์บอนและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบ
ทั้งนี้เขากล่าวถึงความจำเป็นในการจัดทำข้อตกลงทางสังคมใหม่ภายใต้โครงการ “Singapore Move Forward” ซึ่งมุ่งหวังให้สังคมมีความครอบคลุม เห็นอกเห็นใจ และยืดหยุ่นมากขึ้น หว่องยังได้สรุปแผนงานที่จะกำหนดนโยบายใหม่ในพื้นที่สำคัญๆ เช่น ด้านกีฬา เศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย ครอบครัว และการศึกษา และเรียกร้องให้เกิดการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุความฝันของสิงคโปร์ที่ดียิ่งขึ้น
ด้านกีฬา : แผนการสร้างสนามกีฬาในร่มแห่งใหม่และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักกีฬาในพื้นที่ Kallang เป้าหมายคือการทำให้ Kallang เป็นศูนย์กลางสำหรับนักกีฬาชั้นนำและประชาชนทั่วไป โดยสร้างสนามกีฬาในร่มแห่งใหม่ที่มีความจุ 18,000 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่จะรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและการแพทย์ขั้นสูง และศูนย์ฝึกอบรมระดับชาติที่สำคัญ
ด้านเศรษฐกิจ : เน้นความสำคัญของการลงทุนในวิจัยและพัฒนาเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น ประกาศโครงการใหม่ที่ให้เงินสนับสนุนการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะสำหรับชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปีขึ้นไป และแนะนำโครงการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ที่ว่างงานและการสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและการหางาน นอกจากนี้ยังลดค่าใช้จ่ายและขั้นตอนของกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ยุ่งยากเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือเปิดบริษัทในประเทศมากขึ้น
ด้านที่อยู่อาศัย : มีแผนการพัฒนารอบ Marina Bay ซึ่งรวมถึงการสร้าง National Service Square, Bay East Garden และสะพานคนเดินเชื่อมพื้นที่ริมน้ำและเงินอุดหนุนที่อยู่อาศัย CPF ขั้นสูง ซึ่งให้เงินช่วยเหลือสูงถึง 80,000 ดอลลาร์สำหรับคู่สามีภรรยาที่มีรายได้น้อยที่ซื้อบ้านหลังแรก คนโสดจะได้รับสิทธิ์ซื้อแฟลตแบบสร้างตามสั่ง (Build-To-Order หรือ BTO) ก่อนเมื่อซื้อบ้านใกล้กับพ่อแม่ของตน นอกจากนี้ ทางการกำลังพิจารณาแนวทางเพื่อทำให้บ้านที่มีอยู่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุมากขึ้น
ด้านครอบครัว : เพิ่มสิทธิลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรร่วมกันอีก 10 สัปดาห์จากสิทธิลา 16 สัปดาห์สำหรับคุณแม่ และ 4 สัปดาห์สำหรับคุณพ่อ จะมีการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับครอบครัวที่มีลูกคนที่สามหรือมีลูกเล็กสามคนขึ้นไป ซึ่งเป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงของสิงคโปร์ ซึ่งลดลงเหลือ 0.97 ในปี 2023 โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเติบโตของครอบครัว
ด้านการศึกษา : โครงการ Gifted Education Programme (GEP) จะถูกแทนที่ด้วยแนวทางใหม่ที่โรงเรียนประถมศึกษาทั้งหมด ช่วยให้นักเรียนที่มีความสามารถจำนวนมากสามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเองได้ มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนนักเรียนทุกคน รวมถึงนักเรียนจากโรงเรียนในชนบทและในละแวกใกล้เคียง โรงเรียนที่มีนักเรียนด้อยโอกาสหรือต้องการการศึกษาระดับสูงจะได้รับครูและเงินทุนเพิ่มเติม
ทั้งหมดนี้คือการชูนโยบายที่นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ได้เน้นย้ำผ่านการกล่าวสุนทรพจน์หลังวันชาติครั้งแรกของเขา ด้วยระยะเวลายาวนานถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง สุนทรพจน์นี้ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำพาประเทศสิงคโปร์ไปสู่อนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในทุกมิติ ทั้งด้านกีฬา เศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย ครอบครัว และการศึกษา ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กแต่มีศักยภาพสูงอันดับต้น ๆ ของโลก ได้รับการชี้นำจากผู้นำที่ทรงคุณค่า และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของสิงคโปร์ในการก้าวข้ามความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://www.straitstimes.com/singapore/politics/ndr-2024-key-highlights-from-pm-wong-s-first-rally
https://brandinside.asia/pm-lawrence-wong-speech-on-national-day-rally-2024/
https://www.todayonline.com/news/national-day-rally-2024-live-2475081
Robotaxi หรือรถแท็กซี่ไร้คนขับ เป็นความก้าวหน้าสำคัญในภาคการขนส่ง ที่นำเสนอการเดินทางโดยไม่ต้องมีคนขับ รถแท็กซี่อัตโนมัตินี้คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีมูลค่าตลาดทั่วโลกที่คาดว่าจะสูงถึง 118.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2031 โดยตลาดนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR ที่สูงถึง 80.8% ในช่วงระยะเวลาคาดการณ์ 2022-2031 ซึ่งมีภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้นำหลักในการขยายตัวนี้ โดยครองส่วนแบ่งตลาด 25.14% ในปี 2022 การนำเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติมาใช้อย่างรวดเร็ว รวมถึงความต้องการในโซลูชั่นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและประหยัด เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดโรโบแท็กซี่ให้กลายเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก
อนาคตของแท็กซี่ไร้คนขับมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างมากเมื่อเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติพัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้การขนส่งในเมืองมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ก็นำมาซึ่งความขัดแย้งและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาได้แก่ อุปสรรคทางกฎระเบียบ การผสานรวมโรโบแท็กซี่เข้ากับระบบจราจรที่มีอยู่แล้ว และผลกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมแท็กซี่แบบดั้งเดิม นอกจากนี้ การยอมรับของสาธารณชนต่อยานพาหนะไร้คนขับและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อการยอมรับโรโบแท็กซี่ในวงกว้าง การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการพิจารณาทางจริยธรรมและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการนำโรโบแท็กซี่ไปใช้งานอย่างประสบความสำเร็จในอนาคต
ผู้เขียน
นางสาวจินต์ศุจี มณฑิราลัยพร
ที่มา
https://www.fortunebusinessinsights.com/robo-taxi-market-103661