Baramizi Lab logo

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

Day One Tactics
10
09.2025
view
45
SHARE

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

ในโลกที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไป

ตั้งแต่หาเพื่อน, หากลุ่มเฉพาะทางที่สนใจ, หางานที่ตรงสาย ไปจนหาเดตที่ใช่ ในทุกวันนี้ทุกอย่างกำลังกระจายตัวสู่ “แพลตฟอร์มตัวกลาง” ที่ทำให้คนอยากเจอกันได้เจอกันง่ายขึ้น แต่ความต้องที่ซับซ้อนอยู่ในตัวทุกคน เรามีความเหงาแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน แอปต่างๆ อาจทำให้การเริ่มบทสนทนาง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตรงใจ กลับกัน มันยิ่งตอกคำถามว่าเราจะรักษาความตั้งใจ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเวลาที่จ่ายลงไปอย่างไร

ความซับซ้อนของพฤติกรรมทำให้รูปแบบการมองหาความสัมพันธ์เกิดความยากขึ้น ผู้ใช้งานพร้อมที่จะ ‘ยกเลิก’ ความสัมพันธ์ตลอดเวลา แทนที่การ ‘รักษา’ ให้คงไว้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมตัวเพื่อถอนตัวล่วงหน้า (Banksying), การค่อยๆ เว้นระยะห่างก่อนจากลา (Slow Fade), หรือ การหายไปเฉย ๆ ตัดการสื่อสารทันที (Ghosting) ซึ่งทั้งหมด มี “รากพฤติกรรมร่วม” คือการ หลีกเลี่ยงความอึดอัด (Avoidance), ปกป้องตนเองทางอารมณ์ (Self-Preservation) และ “ภาวะล้นทางเลือก” (Choice Overload) ซึ่งจะเกิดเป็น “ความเหนื่อยล้า” (Dating-App Fatigue) ภาวะทั้งหมดนี้ล้วนกระทบธุรกิจที่ซึ่งขาย ‘ความสะดวกสบาย’ จากเทคโนโลยีที่พาคน มาเจอกันตามเจตนาต่างๆ เพราะเมื่อเกิดความล้าจำนวนมาก ย่อมส่งผลต่อการใช้งานในแอปที่ลดลง

4 ช่วงประสบการณ์ของผู้ใช้งานแอปหาคู่

ถ้าหากลองทำความเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการในแต่ละช่วงของผู้ใช้งานแอปหาคู่ เราจะเจอว่ามีทั้งหมด 4 ช่วง คือ

1.คลุมเครือ (Ambiguity)
คุยต่อเนื่องยาวนาน แต่ไม่กำหนดสถานะ และไม่เกิดการพบเจอกันในโลกจริง ทำให้พลังใจ และเวลาเสียไปโดยไม่คืบหน้า

2.คลั่งไคล้ (Crush Rush)
กลไกการเร่งอย่างการบูสต์เกิดเป็นการจับคู่จำนวนมาก แต่ไม่แปลงเป็นการสานสัมพันธ์ได้จริง

3.สายใย (Bond)
ความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความผูกพันค่อย ๆ ก่อตัวจากการใช้เวลาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งในสุดท้ายอาจเป็นเฟรนด์โซน’

4.แรกพบ (Day One)
ผลลัพธ์ตรงใจที่เกิดขึ้นด้วยเวลาอันสั้น ไม่เหนื่อยล้าจากการใช้งาน เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาสู่ความสัมพันธ์ในชีวิตจริง

ซึ่งเป้าหมายของแอปคือการทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานดีที่สุด แอปจำเป็นต้องออกแบบให้ผู้ใช้ ไม่เหนื่อยล้า และพาไปสู่การเจอจริง (IRL) พูดสั้น ๆ หากไม่พาไปสู่การเจอจริง คนจะเหนื่อยล้า ถอนตัว และหันไปพึ่งช่องทางอื่น ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ หรือยอมที่จะพูดคุยกับ AI มากกว่าคนจริงๆ 

ช่วงเดือนเมษายน–มิถุนายน 2025 บริษัทแม่ของ Tinder และ Hinge รายงานว่า “จำนวนผู้ใช้ที่ยอมจ่ายเงิน” เฉลี่ยต่อเดือนลดลงจากราว 14.84 ล้านคน เหลือ 14.09 ล้านคน (ลดประมาณ 5%) แต่ในขณะเดียวกัน “รายได้เฉลี่ยต่อผู้จ่ายหนึ่งคนต่อเดือน” กลับเพิ่มจากประมาณ 19.05 ดอลลาร์ เป็น 20.00 ดอลลาร์ (เพิ่มราว 5%)[1]

ฝั่ง Bumble ก็สะท้อนภาพคล้ายกันในไตรมาสเดียวกัน: “รายได้รวม” ลดลงประมาณ 8% เหลือ 248.2 ล้านดอลลาร์, และ “จำนวนผู้ใช้ที่จ่ายเงิน” ลดลงราว 8.7% เหลือราว 3.8 ล้านคน ขณะที่ “รายได้เฉลี่ยต่อผู้จ่ายหนึ่งคนต่อเดือน” ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 21.69 ดอลลาร์

ผลสะเทือนต่อธุรกิจแอปเกิดขึ้นจริง และเริ่มวัดได้เป็นตัวเลข ด้านหนึ่ง “ความล้า” ไม่ได้เกิดจากนิสัยส่วนตัวอย่างเดียว แต่เกิดเพราะสภาพแวดล้อมของแพลตฟอร์มเอื้อให้ “หลบเลี่ยง” ได้ง่าย เหนื่อยล้าจากตัวเลือกเยอะเกิน ทำให้ ฐานผู้จ่ายเงินชะลอ และหดตัว แม้รายได้ต่อผู้จ่ายจะสูงขึ้น ภาพนี้เห็นชัดในผลประกอบการของผู้เล่นรายใหญ่ที่เเสดงให้เห็นว่า คนที่ยอมควักเงินมีจำนวนน้อยลง แต่คนที่ยังจ่ายกลับ “ยอมจ่ายแพงขึ้น” เพื่อได้สิทธิประโยชน์ที่ตรงกับความต้องการ

3 แนวโน้มที่แอปหาคู่จะปรับตัวเพื่ออยู่รอดในวันที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไป

1) เผชิญหน้าอย่างปลอดภัย (Trust & Safety)

แพลตฟอร์มถูกบีบให้ ลงทุนกับความเชื่อใจ เป็น “ต้นทุนบังคับ” เช่น 

  • Face Check & ID Verification: การยืนยันตัวที่มีมาตรฐานมากขึ้น เช่น ด้วยวิดีโอเซลฟี่  ทำให้ผู้ยืนยันได้แมตช์มากขึ้น 67% จาก Tinder [3] [4]
  • Share Date: แชร์แผนเดตให้คนที่ไว้ใจรับรู้ + ยืนยันตัวด้วยบัตรประชาชน จาก Bumble 
  • Community Guidelines & Safety: แนวทางความปลอดภัยสำหรับการเจอกันจริง จาก Meetup 

2) ลดความล้าจากตัวเลือกที่มากเกินไป (Choice Overload)

ลดภาระการเลือก ช่วยตัดสินใจง่าย และทำให้ความกดดันน้อยลง

  • Relationship Goals: ตั้งเจตนาความสัมพันธ์บนโปรไฟล์ให้ชัด และDouble Date: จับคู่เป็น “คู่ต่อคู่” โดยพาเพื่อนไปด้วย เพื่อลดความกดดัน ตัดสินใจง่ายขึ้น (เกือบ 90% มาจากผู้ใช้อายุต่ำกว่า 29 ปี สะท้อนความนิยมของ Gen Z และช่วยเร่งการนัดเจอ) จาก Tinder
  • AI Intros with Weekly Scheduling: ระบบแนะนำคู่คุยแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จากการอ่านเนื้อหาแนะนำตัว เพื่อสร้างการนัดเจอที่ตรงตามต้องการ จาก Lunchclub

3) มุ่งเป้ากับผลลัพธ์ (Focus on Results)

เพราะผู้ใช้ไม่ได้ต้องการเครื่องมือที่ดีที่สุด เเต่มุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งในปัจจุบันการคือคุณค่ากับปฏิสัมพันธ์ในโลกจริง (IRL: In Real Life)

  • Ticketing Fees: ผู้ซื้อจะจ่ายค่าธรรมเนียมก็ต่อเมื่อมีการเข้าร่วมอีเวนต์จริง จาก Eventbrite
  • Promoted Jobs: (Pay-per-click / pay-per-view budgeting) คิดเงินตามจำนวนคลิกที่คนกดเข้าไปดูประกาศงาน เพื่อให้งานไปหาผู้สมัครที่ตรงโปรไฟล์มากขึ้น จาก LinkedIn 

เศรษฐกิจแห่งการเชื่อมต่อ (Connection Economy) ไม่ได้หยุดอยู่ที่การหาคู่หรือการเดต แต่สะท้อนแกนร่วมเดียวกันในทุกธุรกิจที่ทำหน้าที่ “จับคู่” ไม่ว่าจะเป็นการหาคนที่ใช่ การหางาน การหากิจกรรม หรือการหากลุ่มคอมมูนิตี้ จุดอ่อนสำคัญคือ ความเหนื่อยล้าของผู้ใช้ ในทางกลับกัน แพลตฟอร์มที่เข้าใจหลักการนี้และวางเส้นทางชัดเจน สร้างความไว้วางใจเป็นค่าตั้งต้น (Trust), ลดตัวเลือกให้เหลือน้อยแต่ตรง (Choice), และ ผูกคุณค่ากับผลลัพธ์จริงในโลกจริง (Outcome)—จะสามารถเปลี่ยนจากความล้าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น Day One ของการเดต การเจอกลุ่มใหม่ การหางานตรงใจ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่ใช่

กล่าวอีกแบบ ธุรกิจใด ๆ ที่อยู่ใน Connection Economy ล้วนมีโจทย์เดียวกัน: อย่าขายความง่ายชั่วคราว แต่ขายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งนี้คือคำตอบที่ทำให้ผู้ใช้ “อยู่ต่อ จ่ายต่อ และกลับมาอีกครั้ง”


ที่มา:

[1] PR Newswire
[2] ir.bumble.com
[3] AxiosThe Verge
[4] Tinder UK Newsroom
[5] support.bumble.comTechCrunch
[6] help.meetup.com
[7] tinderpressroom.comTechCrunch
[8] Lunchclub
[9] Eventbrite
[10] LinkedIn Business SolutionsForbes

RECOMMEND

read more
12.09.2025 55

แนวโน้ม Trend สำคัญของโรงงาน ในปี 2025

โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและความเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้โรงงานต้องพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถในการคาดการณ์ ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดผู้บริโภค มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กลายเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดกลยุทธ์ของผู้ประกอบการโรงงานทั้งหลาย เทรนด์โรงงานแห่งอนาคต 1. Foresight Factories: โรงงานมองการณ์ไกล ระบบ Predictive Maintenance ช่วยระบุปัญหาก่อนเกิดเหตุจริง และใช้ Digital Twin ในการจำลองสถานการณ์ผลิตเพื่อปรับปรุงกระบวนการอย่างแม่นยำ ภายในปี 2025 อัตราการใช้ระบบอัตโนมัติจะเพิ่มจาก 69% เป็น 79% ขณะที่การเชื่อมต่อทุกกระบวนการช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 2. Decentralized Manufacturing: ผลิตแบบกระจายศูนย์ โรงงานขนาดเล็กเคลื่อนย้ายได้ พร้อมตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มพัฒนาชุดโรงงานย่อยที่ […]

Day One Tactics
read more
10.09.2025 45

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

ในโลกที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไป ตั้งแต่หาเพื่อน, หากลุ่มเฉพาะทางที่สนใจ, หางานที่ตรงสาย ไปจนหาเดตที่ใช่ ในทุกวันนี้ทุกอย่างกำลังกระจายตัวสู่ “แพลตฟอร์มตัวกลาง” ที่ทำให้คนอยากเจอกันได้เจอกันง่ายขึ้น แต่ความต้องที่ซับซ้อนอยู่ในตัวทุกคน เรามีความเหงาแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน แอปต่างๆ อาจทำให้การเริ่มบทสนทนาง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตรงใจ กลับกัน มันยิ่งตอกคำถามว่าเราจะรักษาความตั้งใจ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเวลาที่จ่ายลงไปอย่างไร ความซับซ้อนของพฤติกรรมทำให้รูปแบบการมองหาความสัมพันธ์เกิดความยากขึ้น ผู้ใช้งานพร้อมที่จะ ‘ยกเลิก’ ความสัมพันธ์ตลอดเวลา แทนที่การ ‘รักษา’ ให้คงไว้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมตัวเพื่อถอนตัวล่วงหน้า (Banksying), การค่อยๆ เว้นระยะห่างก่อนจากลา (Slow Fade), หรือ การหายไปเฉย ๆ ตัดการสื่อสารทันที (Ghosting) ซึ่งทั้งหมด มี “รากพฤติกรรมร่วม” คือการ หลีกเลี่ยงความอึดอัด (Avoidance), ปกป้องตนเองทางอารมณ์ (Self-Preservation) และ “ภาวะล้นทางเลือก” (Choice Overload) ซึ่งจะเกิดเป็น “ความเหนื่อยล้า” (Dating-App Fatigue) ภาวะทั้งหมดนี้ล้วนกระทบธุรกิจที่ซึ่งขาย ‘ควา […]

Ultra-Processed Foods (UPF)
read more
08.09.2025 63

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?  อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์ นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ อาหารเหล่านี้อาจมีฉล […]

Vibe coding Trend
read more
05.09.2025 86

Vibe coding Trend คืออะไร? เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนาในอนาคตอย่างไร

Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง อนาคตของอาชีพนักพัฒนาจะเปลี่ยนไปอย่างไร Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง Vibe Coding คือแนวทางการพัฒนาโปรแกรมที่เน้นการทำงานร่วมกับ AI ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น คำสั่งภาษาอังกฤษ ให้ AI ช่วยสร้าง ปรับแต่ง และแนะนำโค้ดแบบไหลลื่นและมีความสร้างสรรค์สูง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัด ส่วน GitHub Copilot คือหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ช่วยแนะนำโค้ดระหว่างการเขียนจริง ๆ โดยมันจะเติมโค้ดหรือฟังก์ชันที่คาดว่าจะใช้ในบริบทนั้น ๆ แต่ยังต้องให้ผู้พัฒนาเป็นผู้เขียนและควบคุมหลัก ความแตกต่างหลักระหว่าง Vibe Coding กับ Copilot คือ Vibe Coding เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เน้นการใช้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยในการพัฒนาโค้ดทั้งโปรเจกต์ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติแบบโต้ตอบ ที่ช่วยให้การสร้างโค้ดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ขึ้น Copilot เป็นเครื่องมือหนึ่งใน Ecosystem ของ Vibe Coding ที่ให้การช่วยเติมโค้ดและแนะนำฟังก์ชัน แต่ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดแบบเดิมที่มีรูปแบบที่จำกัดและใช้คำสั่งโดยตรงน้อยกว่า เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนา […]

polka dot trend
read more
03.09.2025 77

Nostalgia จิตวิทยาที่ทำให้
เสื้อ Polka Dot เป็นTrendช่วงนี้ ได้อย่างไร?

การค้นหาคำว่า “polka dot outfits” บน Pinterest เพิ่มขึ้น 1,026% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ววงจรแฟชั่น 20 ปีและกระแส Y2K Revival เสื้อ Polka Dot คืออะไร เสื้อ Polka Dot เป็นเสื้อผ้าลายจุดกลมที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนและรักษาความคลาสสิก รวมถึงโดดเด่นด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา จึงเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมตลอดกาลเสื้อ Polka Dot คือเสื้อผ้าที่มีลวดลายจุดกลม ๆ กระจายทั่วผืนผ้า โดยจุดมักจะมีขนาดเท่ากันและเว้นระยะห่างเท่ากัน ชื่อ Polka Dot มาจากชื่อการเต้นรำในยุโรปช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งลายจุดนี้สื่อถึงความร่าเริงและจังหวะสนุกสนานของการเต้นรำ แฟชั่น Polka Dot เป็นสไตล์คลาสสิกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2025 ลายนี้กลับมาเป็นเทรนด์ฮิตอีกครั้ง เพราะให้ความรู้สึกสดใส มีชีวิตชีวา และเหมาะกับหลายโอกาส ทั้งลุคหวาน ลุคชิค หรือแฟชั่นสตรี ทำไมเสื้อ Polka Dot ถึงเป็นกระแสช่วงนี้ 1.จิตวิทยาความคิดถึงและการหาความปลอดภัย Nostalgia การค้นหาคำว่า “polka dot outfits” บน Pinterest เพิ่มขึ้น 1,026% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่คำค้นหา “polka dot” พ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง