Baramizi Lab logo

Place Making เพราะเมืองเป็น ‘สถานที่’ ของทุกคน

Place Making เพราะเมืองเป็น ‘สถานที่’ ของทุกคน

Place Making เป็นแนวทางหนึ่งในการออกแบบ ‘สถานที่ (Place)’ ที่จะเป็นมากกว่า ‘พื้นที่ (Space)’ พื้นที่อาจเป็นมิติทางกายภาพ แต่สถานที่จะหมายถึงมิติสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับพื้นที่ ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในด้านวิถีชีวิต ความคิด และกิจกรรม แนวคิดของ Place Making คือการสร้างสถานที่ที่ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น แต่ยังสวยงามและมีความหมายสำหรับผู้ที่อาศัย ทำงาน และเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่น

Place Making มีทั้งหมด 4 ประเภท

  1. Standard Placemaking คือ การที่ชุมชนได้ใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีประสิทธิผลเพื่อสร้างชุมชนที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ซึ่งผู้คนต้องการอยู่อาศัย ทำงาน เล่น และเรียนรู้ การมีส่วนร่วมของสาธารณะและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างในการฟื้นฟู มีส่วนร่วมทางสังคมและหลักการออกแบบเมืองใหม่
  2. Strategic Placemaking คือ การฟื้นฟูที่เพิ่มทางเลือกด้านที่อยู่อาศัยและการคมนาคมขนส่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกในเมืองเพื่อดึงดูดคนงานที่มีความสามารถเข้ามา เพิ่มอัตราการจ้างงานมากขึ้นในเมือง
  3. Creative Placemaking คือ การฟื้นฟูด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผสมผสานกิจกรรมศิลปะ วัฒนธรรมและการออกแบบทำให้สถานที่ต่างๆ จุดประกายการพัฒนาเศรษฐกิจ ดึงดูดให้คนหลั่งไหลเข้ามา
  4. Tactical Placemaking คือ การทดสอบโซลูชันต่างๆ โดยใช้ตัวแทนต้นทุนต่ำเพื่อวัดประสิทธิภาพและการสนับสนุนจากสาธารณะเนื่องจากการปรับปรุงพื้นที่มีราคาสูงทำให้ผู้กำหนดนโยบายอาจไม่เห็นด้วย

 

คุณลักษณะของ ‘สถานที่’ ที่ดีเป็นอย่างไร?

อ้างอิงจากภาพด้านบน คุณลักษณะที่ทำให้สถานที่เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมนั้นมีอยู่ 4 ลักษณะสำคัญ ได้แก่ 

1. Sociability ความเป็นกันเอง 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ได้แก่ ความหลากหลาย การดูแล องค์กรในชุมชน เพื่อนบ้าน ความภาคภูมิใจ ความเป็นมิตร การมีปฏิสัมพันธ์และการต้อนรับ โดยสามารถวัดผลได้จากจำนวนสตรี เด็ก และผู้สูงอายุในชุมชน เครือข่ายทางสังคม กลุ่มอาสาสมัคร การใช้ชีวิตตอนเย็นของคนในชุมชนและชีวิตบนท้องถนน

2. Uses and Activity การใช้งานและกิจกรรม

ปัจจัยสำคัญที่ให้คนในชุมชนรู้สึกถึงการใช้งานและกิจกรรมของพื้นที่ ได้แก่ ความสนุกสนาน กระตือรือร้น ความสำคัญ ความพิเศษ ความมีประโยชน์  การเฉลิมฉลองและยั่งยืน โดยสามารถวัดผลได้จากจำนวนเจ้าของธุรกิจในท้องถิ่น รูปแบบการใช้ที่ดิน มูลค่าทรัพย์สิน ระดับค่าเช่า ยอดขายปลีก

3. Access and linkages การเข้าถึงและการเชื่อมโยง

ปัจจัยที่ทำให้คนในชุมชนรับรู้ถึงการเข้าถึงและการเชื่อมโยงที่มีต่อพื้นที่ ได้แก่ ความต่อเนื่อง ความใกล้ชิด การเชื่อมต่อกัน สามารถอ่านได้ เดินได้ มีความสะดวกและเข้าถึงได้ โดยวัดผลจากข้อมูลการจราจร การแบ่งโหมด การใช้ระบบขนส่ง กิจกรรมคนเดินเท้าและรูปแบบการใช้ที่จอดรถ

4. Comfort and Images ความสะดวกสบายและภาพลักษณ์

ปัจจัยที่ทำให้คนในชุมชนรับรู้ถึงความสะดวกสบายและภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่ คือ ความปลอดภัย ความสะอาด มีพื้นที่สีเขียว สามารถเดินได้ นั่งได้ มีจิตวิญญาณ มีเสน่ห์ น่าดึงดูดและมีภาพลักษณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยวัดผลได้จากข้อมูลสภาพแวดล้อม สถิติอาชญากรรม ระดับสุขอนามัยและสภาพโครงสร้างอาคาร

Place Making เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพของพื้นที่สาธารณะและชีวิตของผู้คนที่ใช้สถานที่นั้น ตามที่รายงานของ MIT ระบุว่า “หากนำไปปฏิบัติ Place Making ที่พยายามที่จะสร้างหรือปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ สร้างความสวยงามและความสุข ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจของพลเมือง เชื่อมโยงละแวกใกล้เคียง สนับสนุนสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน ขยายความยุติธรรมทางสังคม กระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และแน่นอนว่ารักษาความรู้สึกของสถานที่อย่างแท้จริง”

บทบาทของ Place Making ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน

Place Making อาจทำได้ง่ายเพียงแค่การปรับปรุงสวนสาธารณะในท้องถิ่นหรือการปรับโฉมย่านใจกลางเมืองทั้งหมดเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต แต่หากทำในสเกลเล็กๆ อาจไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนใหญ่ Place Making จึงเกิดในขนาดสเกลเมืองเท่านั้น การทำ Place Making มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะในเมืองต่างๆ เป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตในชุมชน สามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาชุมชนในเชิงกายภาพ เช่น การฟื้นฟูอาคารหรือสร้างการสัญจรที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดใจซึ่งนำไปสู่การสร้างงาน ฐานภาษีที่สำคัญยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มทรัพย์สิน แรงบันดาลใจและดึงดูดคนงานหรือผู้อยู่อาศัยที่มีความสามารถเข้ามาช่วยให้เศรษฐกิจในชุมชนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของในการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างพื้นที่ที่มีส่วนร่วมมากขึ้น

แนวโน้ม Placemaking ที่ได้รับความสนใจในปี 2024

ผู้คนเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ Placemaking มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีจัดอีเวนต์เกี่ยวกับ Placemaking week ในต่างประเทศประจำปีกันเลยทีเดียว เนื่องจาก Placemaking ช่วยให้ชุมชมเริ่มตระหนักถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนที่ตนเองอยู่อาศัย เริ่มอยากส่งเสริมพื้นที่ในเมืองที่มีชีวิตชีวา มีการบูรณาการความยั่งยืน ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี ขับเคลื่อนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ Placemaking ได้ก่อกำเนิดเทรนด์ที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นโดยหากสถานที่ไหนๆ ก็ตามที่ได้ออกแบบพื้นที่ตามเทรนด์ของ Placemaking ก็จะช่วยส่งเสริมให้คนในชุมชนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น ยกตัวอย่าง เทรนด์ Placemaking ประจำปี 2024 ได้แก่

  • Equitable Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานที่เท่าเทียม คือ การแก้ไขอันตรายและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนผู้มีรายได้น้อยและชุมชนคนผิวสี ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ชุมชนที่ไม่ได้รับการลงทุนในอดีต การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สามารถจัดการกับความแตกต่างและส่งเสริมความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
  • Creative Placemaking การสร้างสถานที่อย่างสร้างสรรค์ คือ กระบวนการที่สมาชิกชุมชน ศิลปิน องค์กรศิลปะและวัฒนธรรม นักพัฒนาชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ใช้กลยุทธ์ศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงสถานที่ต่างๆ ในชุมชน
  • Placekeeping การเก็บสถานที่ คือ การใช้ทรัพยากรชุมชนที่มีอยู่และเพิ่มบทบาทและความเข้มแข็งในชุมชน เป็นวิธีการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม
  • Vacant and underused spaces พื้นที่ว่างและใช้งานน้อย คือ การนำพื้นที่ว่างหรือที่ไม่ได้ใช้คือพื้นที่ในเมืองหรือพื้นที่ชนบทที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เช่น อาคารร้างหรือพื้นที่ว่างเปล่ามาปรับปรุง สิ่งเหล่านี้มักเป็นโอกาสในการพัฒนาและฟื้นฟูชุมชน
  • Waterfronts สถานที่ริมน้ำ คือ พื้นที่ตามแนวแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ที่มาใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพ การเข้าถึง และการใช้งานสำหรับชุมชนโดยรอบให้เป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา ซึ่งมอบโอกาสในการพักผ่อนหย่อนใจและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ

เมืองที่นำ Place Making ไปประยุกต์ใช้

มีหลายเมืองจากหลากประเทศทั่วโลกที่ได้นำหลักการ Place Making นำไปปรับใช้กับพื้นที่เพื่อพัฒนาตัวอย่างของเมืองที่นำแนวคิดนี้มาใช้และประสบความสำเร็จ ได้แก่:

1. นิวยอร์กซิตี้ – Times Square

ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ไทม์สแควร์ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของคนเดินถนนและปรับปรุงคุณภาพชีวิต โครงการนี้รวมถึงการปิดถนนบางส่วนสำหรับรถยนต์และสร้างพื้นที่นั่งเล่นสำหรับคนเดินเท้า การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไทม์สแควร์กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวามากขึ้น ดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่น

2. โคเปนเฮเกน – สวน Nørrebro

ย่าน Nørrebro ในโคเปนเฮเกนได้รับการปรับปรุงหลายโครงการที่เน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะ หนึ่งในโครงการที่สำคัญคือสวน Superkilen ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความหลากหลายของชุมชน โดยมีองค์ประกอบจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก สวนนี้ช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความสามัคคีในชุมชน

3. สิงคโปร์ – Marina Bay

พื้นที่ Marina Bay ในสิงคโปร์เป็นตัวอย่างของการทำ Place Making ที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงโครงสร้างที่โดดเด่นอย่าง Marina Bay Sands และ Gardens by the Bay พื้นที่นี้มีการผสมผสานพื้นที่สีเขียว ทางเดินคนเดิน และศิลปะสาธารณะ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมเมืองที่มีชีวิตชีวาและสนับสนุนทั้งการท่องเที่ยว ธุรกิจ และกิจกรรมของชุมชน

Place Making เพื่อการเปลี่ยนแปลงเมืองให้น่าอยู่กว่าเดิม

ในอนาคต แนวคิด Place Making ยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เมืองต่างๆ จะสามารถนำแนวทางนี้ไปใช้เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรได้อย่างแท้จริง การทำ Place Making ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงพื้นที่ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับคนทุกคนในชุมชน

ด้วยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การทำ Place Making สามารถเปลี่ยนแปลงเมืองทั่วโลกให้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สร้างความภาคภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ ดังนั้น แนวคิดนี้จึงควรได้รับการสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคน.

ผู้เขียน: จินต์ศุจี มณฑิราลัยพร

ที่มา:

https://www.citizenlab.co/blog/neighborhoods-community-development/5-examples-of-placemaking-in-community-engagement/ 

https://placemaking-europe.eu/what-is-placemaking/#:~:text=Placemaking%20is…-,Placemaking%20is%20an%20approach%20to%20urban%20planning%20and%20design%20that,%2C%20work%2C%20and%20play%20there

https://calvium.com/5-of-the-worlds-most-creative-placemaking-projects/ 

https://www.philmyrick.com/sb/top-10-examples-of-creative-placemaking-projects/#:~:text=Millennium%20Park%2C%20Chicago%2C%20USA,attracts%20visitors%20and%20locals%20alike

https://sangsehanat-s.medium.com/placemaking-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-84725948df11

RECOMMEND

read more
22.08.2025 139

เทรนด์ Run Club ในไทยปี 2025

คอมมูนิตี้ของคนที่รวมตัวกันเพื่อวิ่งออกกำลังกายร่วมกัน ทำไมการเข้าร่วม Run Club ถึงได้รับความนิยมในไทยตอนนี้ เทรนด์ Run Club ในไทยมีผลต่อการตลาดและแบรนด์กีฬาอย่างไร Run Club คืออะไร Run Club คือกลุ่มหรือคอมมูนิตี้ของคนที่รวมตัวกันเพื่อวิ่งออกกำลังกายร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิ่งมืออาชีพหรือมีประสบการณ์มาก่อน จุดเด่นของ Run Club คือการสร้างบรรยากาศวิ่งที่สนุกสนาน ผ่อนคลาย และมีมิตรภาพ เป็นพื้นที่ให้คนที่มีใจรักการวิ่งได้มาเจอกัน แชร์ประสบการณ์ และวิ่งด้วยกันในรูปแบบต่าง ๆ ตามระดับความชอบหรือระดับความเร็ว ทำไมการเข้าร่วม Run Club ถึงได้รับความนิยมในไทยตอนนี้ การวิ่งไม่ใช่แค่กีฬาแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ lifestyle ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ การวิ่งใน Run Club คือการได้พบปะผู้คนที่มีความชอบคล้ายกัน ทั้งในเรื่องการวิ่ง แฟชั่นรองเท้าวิ่ง และกิจกรรมสังคม เช่น กินกาแฟหลังวิ่ง แบรนด์แฟชั่นและกีฬาเข้ามามีบทบาทส่งเสริมเทรนด์นี้ เช่น การร่วมมือระหว่างแฟชั่นและกีฬา ทำให้คนมองว่าการวิ่งเป็นกิจกรรมที่ใกล้ตัวและสามารถสร้างภาพลักษณ์ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อสุขภาพ แต่ใส่เสื้อผ้าวิ่งยังไปทำงานหรือเที่ยวได้ด้ […]

read more
20.08.2025 135

OATSIDE TREND แบรนด์ที่ทำให้คาเฟ่ ทั้งประเทศปรับราคานมโอ๊ต

กระแสของ OATSIDE ซึ่งเป็นแบรนด์นมโอ๊ตชื่อดังจากสิงคโปร์ กำลังมาแรงมากในปี 2025 ทำไม OATSIDE จึงลดราคานมลงถึง 50% อย่างถาวร ใช้กลยุทธ์อะไรในการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่ม Niche สู่ Mass กระแสนมโอ๊ต OATSIDE ในช่วงปีที่ผ่านมา เกิดกระแสใหม่ในไทยที่ร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารเปิดบริการตอนกลางวัน แต่มีสไตล์แบบร้านเหล้าผับในเวลากลางคืน เช่น มี DJ มาเปิดเพลงสร้างบรรยากาศ ปกติเราจะเห็นดีเจในร้านบาร์ช่วงค่ำ แต่ตอนนี้ดีเจถูกนำเข้ามาอยู่ในร้านคาเฟ่ขณะยังไม่มืด ด้วยคอนเซ็ปต์ผสมผสานความเป็น “คาเฟ่ & บาร์” หรือ “Cafe and Bar” โดยลูกค้าสามารถจิบกาแฟหรือรับประทานอาหาร พร้อมฟังเพลงจากดีเจและชิลล์ในบรรยากาศเหมือนปาร์ตี้เบา ๆ ได้ในเวลากลางวัน OATSIDE ใช้กลยุทธ์อะไรในการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่ม niche สู่ mass ตั้งราคานมโอ๊ตในช่วงแรกสูงกว่าเพื่อนำเสนอในกลุ่มลูกค้าพรีเมียมหรือกลุ่ม Early Adopters ที่พร้อมจ่ายเพื่อสินค้าทางเลือกคุณภาพสูงและรสชาติที่เหมาะกับคนเอเชีย (Price Skimming) พัฒนาสูตรนมโอ๊ตที่รสชาติลงตัวสำหรับคนเอเชีย โดยผ่านการทดลองสูตรมากกว่า 50 สูตร จนได้รสชาติที่ถูกใจกลุ่มเป้าหมายแรกเ […]

read more
26.08.2025 45

CONSUMER INSIGHTS – THE FUTURE OF MARKETING

“Consumer Insights” Wording สุดคลาสสิคที่อยู่คู่การทำการตลาดมาตลอดกาลแต่วันนี้ก็ยังพูดได้ว่า Consumer Insights คือ Future of Marketing อยู่ดีมาดูกันว่า Consumer Insights มันทำงานอย่างไร แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร ลองมาจำลองสถานการณ์กันดูนะคะ เรามีธุรกิจร้านอาหารมีสาขาทั่วประเทศ ธุรกิจเราไปได้เรื่อยๆ เติบโตแบบ Organic ตามจำนวนการเปิดสาขาใหม่ ในแต่ละมื้ออาหารมีลูกค้าเข้าร้านปริ่มๆ เกือบเต็มแต่ไม่เต็ม และมีช่วง Peak Time แค่สั้นๆ เป็นช่วงเวลา Main Meal ได้แก่ช่วงเที่ยง และช่วงมื้อเย็น …..ในฐานะผู้บริหารผู้ต้องชี้ทิศทางเพื่อนำพาแบรนด์สู่การเติบโต คำถาม คือ เราจะโตได้อย่างไร? ตีโจทย์การเติบโตซิว่า…ธุรกิจร้านอาหารเราจะโตได้จากอะไร? ฐานลูกค้าเดิมยังคงเหนียวแน่น ยังคงรักเราและกินเราสม่ำเสมอ (อันนี้ยังไม่โตนะแต่ต้องเขียนกำกับไว้ไม่งั้นเผลอทิ้งเค้าโดยไม่รู้ตัว) ทำให้ลูกค้าเดิมซื้อเพิ่มในการเข้าร้านแต่ละครั้ง และทำให้ลูกค้าเดิมเข้าร้านในความถี่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าใหม่เข้าร้านของเรา เลือกเราเพิ่มขึ้น รับรองว่าถ้าทำได้ทั้ง 3 ข้อนี้ โตแน่นอน! จริงเสียยิ่งกว่าจริง หลักคิดนี้จริงๆ ก็มีโมเดลรอ […]

read more
30.07.2025 154

I Buy, Therefore I am การตลาดบนมูลค่าแห่งความรู้สึก

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากอิทธิพลของวิถีชีวิตที่ซับซ้อน การเข้าใจแค่ “ใครซื้อ” หรือ “ซื้ออะไร” ไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้บริโภคเริ่มตัดสินใจจาก “ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น” (Desired Outcome) มากกว่าประเภทของสินค้า หรือแบรนด์โดยตรง แนวคิด “Consumer Need States” หรือ “ภาวะความต้องการของผู้บริโภค” จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการเลือกบริโภค โดยเป็นการมองผู้บริโภคจากสิ่งที่พวกเขาต้องการรู้สึกหรือบรรลุในช่วงเวลานั้น เช่น ความสงบ ความมั่นใจ ความกระปรี้กระเปร่า หรือการฟื้นฟูร่างกาย เมื่อการตัดสินใจไม่ได้เริ่มต้นจากคำถามว่า “จะซื้ออะไร” แต่เป็นคำถามว่า “ทำไมถึงต้องซื้อ” หรือ “อยากได้ผลลัพธ์อะไรจากการบริโภค” แนวทางการทำความเข้าใจผู้บริโภคที่อิงจากข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ หรือพฤติกรรมซื้อตามหมวดหมู่ จึงไม่เพียงพออีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งคาดว่ามีมูลค่ากว่า 2.26 แสนล้านบาทในปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ซึ่งมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ในตลาดนี้ ผู้บริโภคไม่ได้เลือกซื้อเพียงเพราะรสชาติหรือราคาอีกต่อไ […]

เทรนด์อาหารคนโสดในปี 2025
read more
21.07.2025 244

โสดก็กินข้าวอร่อยได้ 3 เทรนด์อาหารคนโสดในปี 2025

คนโสดให้ความสำคัญกับความสะดวก (Convenience) การควบคุมมื้อ (Portion Control) และการลงทุนเพื่อประสบการณ์ส่วนตัว ทำให้เกิด “Self Splurge” และ “Solo Dining” 3 เทรนด์อาหารสำหรับคนโสด 1.Functional & High-Protein Snacks
 คนโสดกลุ่มสายเฮลท์ตี้มองหาของว่างที่มีประโยชน์มากขึ้น โปรตีนบาร์ ขนมอบกรอบจากไข่ขาว ถั่ว และเครื่องดื่มโปรตีนสปาร์กลิง (protein-infused sparkling) ตอบโจทย์สุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก. Superfood จากทะเล (สาหร่าย สาหร่ายสไปรูลิน่า) และ Sea Moss Gel ถูกนำมาสร้างสรรค์ในรูปแบบขนมและเครื่องดื่มมากขึ้น 2.Self-Splurge Dining & Premium Experiences
 “Self Splurge” คือการใช้จ่ายเพื่อรางวัลตัวเอง ส่งผลให้คนโสดทานอาหารนอกบ้านและลงทุนกับกิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร การใช้จ่ายหมวด Dining สูงกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับคนมีครอบครัว และพร้อมจ่ายค่ากิจกรรมเวิร์กช็อปทำอาหาร. เทรนด์ Sake Pairing ของ GrabFood ชูประสบการณ์จับคู่สาเกกับเมนูต่าง ๆ ใน Casual Dining. 3.Personalization & Experiential Food
 คนโสดต้องการอาหารที่สะท้อนตัวตนและสร้างประสบการณ์ใหม่ เมนูผสมรสหวาน-คาว “Swavory” วาร์ไรตี้อาหารสต […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง