Baramizi Lab logo

Place Making เพราะเมืองเป็น ‘สถานที่’ ของทุกคน

Place Making เพราะเมืองเป็น ‘สถานที่’ ของทุกคน

Place Making เป็นแนวทางหนึ่งในการออกแบบ ‘สถานที่ (Place)’ ที่จะเป็นมากกว่า ‘พื้นที่ (Space)’ พื้นที่อาจเป็นมิติทางกายภาพ แต่สถานที่จะหมายถึงมิติสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับพื้นที่ ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นในด้านวิถีชีวิต ความคิด และกิจกรรม แนวคิดของ Place Making คือการสร้างสถานที่ที่ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น แต่ยังสวยงามและมีความหมายสำหรับผู้ที่อาศัย ทำงาน และเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่น

Place Making มีทั้งหมด 4 ประเภท

  1. Standard Placemaking คือ การที่ชุมชนได้ใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีประสิทธิผลเพื่อสร้างชุมชนที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ซึ่งผู้คนต้องการอยู่อาศัย ทำงาน เล่น และเรียนรู้ การมีส่วนร่วมของสาธารณะและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างในการฟื้นฟู มีส่วนร่วมทางสังคมและหลักการออกแบบเมืองใหม่
  2. Strategic Placemaking คือ การฟื้นฟูที่เพิ่มทางเลือกด้านที่อยู่อาศัยและการคมนาคมขนส่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกในเมืองเพื่อดึงดูดคนงานที่มีความสามารถเข้ามา เพิ่มอัตราการจ้างงานมากขึ้นในเมือง
  3. Creative Placemaking คือ การฟื้นฟูด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผสมผสานกิจกรรมศิลปะ วัฒนธรรมและการออกแบบทำให้สถานที่ต่างๆ จุดประกายการพัฒนาเศรษฐกิจ ดึงดูดให้คนหลั่งไหลเข้ามา
  4. Tactical Placemaking คือ การทดสอบโซลูชันต่างๆ โดยใช้ตัวแทนต้นทุนต่ำเพื่อวัดประสิทธิภาพและการสนับสนุนจากสาธารณะเนื่องจากการปรับปรุงพื้นที่มีราคาสูงทำให้ผู้กำหนดนโยบายอาจไม่เห็นด้วย

 

คุณลักษณะของ ‘สถานที่’ ที่ดีเป็นอย่างไร?

อ้างอิงจากภาพด้านบน คุณลักษณะที่ทำให้สถานที่เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมนั้นมีอยู่ 4 ลักษณะสำคัญ ได้แก่ 

1. Sociability ความเป็นกันเอง 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ได้แก่ ความหลากหลาย การดูแล องค์กรในชุมชน เพื่อนบ้าน ความภาคภูมิใจ ความเป็นมิตร การมีปฏิสัมพันธ์และการต้อนรับ โดยสามารถวัดผลได้จากจำนวนสตรี เด็ก และผู้สูงอายุในชุมชน เครือข่ายทางสังคม กลุ่มอาสาสมัคร การใช้ชีวิตตอนเย็นของคนในชุมชนและชีวิตบนท้องถนน

2. Uses and Activity การใช้งานและกิจกรรม

ปัจจัยสำคัญที่ให้คนในชุมชนรู้สึกถึงการใช้งานและกิจกรรมของพื้นที่ ได้แก่ ความสนุกสนาน กระตือรือร้น ความสำคัญ ความพิเศษ ความมีประโยชน์  การเฉลิมฉลองและยั่งยืน โดยสามารถวัดผลได้จากจำนวนเจ้าของธุรกิจในท้องถิ่น รูปแบบการใช้ที่ดิน มูลค่าทรัพย์สิน ระดับค่าเช่า ยอดขายปลีก

3. Access and linkages การเข้าถึงและการเชื่อมโยง

ปัจจัยที่ทำให้คนในชุมชนรับรู้ถึงการเข้าถึงและการเชื่อมโยงที่มีต่อพื้นที่ ได้แก่ ความต่อเนื่อง ความใกล้ชิด การเชื่อมต่อกัน สามารถอ่านได้ เดินได้ มีความสะดวกและเข้าถึงได้ โดยวัดผลจากข้อมูลการจราจร การแบ่งโหมด การใช้ระบบขนส่ง กิจกรรมคนเดินเท้าและรูปแบบการใช้ที่จอดรถ

4. Comfort and Images ความสะดวกสบายและภาพลักษณ์

ปัจจัยที่ทำให้คนในชุมชนรับรู้ถึงความสะดวกสบายและภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่ คือ ความปลอดภัย ความสะอาด มีพื้นที่สีเขียว สามารถเดินได้ นั่งได้ มีจิตวิญญาณ มีเสน่ห์ น่าดึงดูดและมีภาพลักษณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยวัดผลได้จากข้อมูลสภาพแวดล้อม สถิติอาชญากรรม ระดับสุขอนามัยและสภาพโครงสร้างอาคาร

Place Making เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพของพื้นที่สาธารณะและชีวิตของผู้คนที่ใช้สถานที่นั้น ตามที่รายงานของ MIT ระบุว่า “หากนำไปปฏิบัติ Place Making ที่พยายามที่จะสร้างหรือปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ สร้างความสวยงามและความสุข ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจของพลเมือง เชื่อมโยงละแวกใกล้เคียง สนับสนุนสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน ขยายความยุติธรรมทางสังคม กระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และแน่นอนว่ารักษาความรู้สึกของสถานที่อย่างแท้จริง”

บทบาทของ Place Making ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน

Place Making อาจทำได้ง่ายเพียงแค่การปรับปรุงสวนสาธารณะในท้องถิ่นหรือการปรับโฉมย่านใจกลางเมืองทั้งหมดเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต แต่หากทำในสเกลเล็กๆ อาจไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนใหญ่ Place Making จึงเกิดในขนาดสเกลเมืองเท่านั้น การทำ Place Making มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะในเมืองต่างๆ เป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตในชุมชน สามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาชุมชนในเชิงกายภาพ เช่น การฟื้นฟูอาคารหรือสร้างการสัญจรที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดใจซึ่งนำไปสู่การสร้างงาน ฐานภาษีที่สำคัญยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มทรัพย์สิน แรงบันดาลใจและดึงดูดคนงานหรือผู้อยู่อาศัยที่มีความสามารถเข้ามาช่วยให้เศรษฐกิจในชุมชนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของในการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างพื้นที่ที่มีส่วนร่วมมากขึ้น

แนวโน้ม Placemaking ที่ได้รับความสนใจในปี 2024

ผู้คนเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับ Placemaking มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีจัดอีเวนต์เกี่ยวกับ Placemaking week ในต่างประเทศประจำปีกันเลยทีเดียว เนื่องจาก Placemaking ช่วยให้ชุมชมเริ่มตระหนักถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนที่ตนเองอยู่อาศัย เริ่มอยากส่งเสริมพื้นที่ในเมืองที่มีชีวิตชีวา มีการบูรณาการความยั่งยืน ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี ขับเคลื่อนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ Placemaking ได้ก่อกำเนิดเทรนด์ที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นโดยหากสถานที่ไหนๆ ก็ตามที่ได้ออกแบบพื้นที่ตามเทรนด์ของ Placemaking ก็จะช่วยส่งเสริมให้คนในชุมชนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น ยกตัวอย่าง เทรนด์ Placemaking ประจำปี 2024 ได้แก่

  • Equitable Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานที่เท่าเทียม คือ การแก้ไขอันตรายและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนผู้มีรายได้น้อยและชุมชนคนผิวสี ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ชุมชนที่ไม่ได้รับการลงทุนในอดีต การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สามารถจัดการกับความแตกต่างและส่งเสริมความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
  • Creative Placemaking การสร้างสถานที่อย่างสร้างสรรค์ คือ กระบวนการที่สมาชิกชุมชน ศิลปิน องค์กรศิลปะและวัฒนธรรม นักพัฒนาชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ใช้กลยุทธ์ศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงสถานที่ต่างๆ ในชุมชน
  • Placekeeping การเก็บสถานที่ คือ การใช้ทรัพยากรชุมชนที่มีอยู่และเพิ่มบทบาทและความเข้มแข็งในชุมชน เป็นวิธีการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม
  • Vacant and underused spaces พื้นที่ว่างและใช้งานน้อย คือ การนำพื้นที่ว่างหรือที่ไม่ได้ใช้คือพื้นที่ในเมืองหรือพื้นที่ชนบทที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เช่น อาคารร้างหรือพื้นที่ว่างเปล่ามาปรับปรุง สิ่งเหล่านี้มักเป็นโอกาสในการพัฒนาและฟื้นฟูชุมชน
  • Waterfronts สถานที่ริมน้ำ คือ พื้นที่ตามแนวแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ที่มาใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพ การเข้าถึง และการใช้งานสำหรับชุมชนโดยรอบให้เป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา ซึ่งมอบโอกาสในการพักผ่อนหย่อนใจและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ

เมืองที่นำ Place Making ไปประยุกต์ใช้

มีหลายเมืองจากหลากประเทศทั่วโลกที่ได้นำหลักการ Place Making นำไปปรับใช้กับพื้นที่เพื่อพัฒนาตัวอย่างของเมืองที่นำแนวคิดนี้มาใช้และประสบความสำเร็จ ได้แก่:

1. นิวยอร์กซิตี้ – Times Square

ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 ไทม์สแควร์ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของคนเดินถนนและปรับปรุงคุณภาพชีวิต โครงการนี้รวมถึงการปิดถนนบางส่วนสำหรับรถยนต์และสร้างพื้นที่นั่งเล่นสำหรับคนเดินเท้า การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไทม์สแควร์กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวามากขึ้น ดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่น

2. โคเปนเฮเกน – สวน Nørrebro

ย่าน Nørrebro ในโคเปนเฮเกนได้รับการปรับปรุงหลายโครงการที่เน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะ หนึ่งในโครงการที่สำคัญคือสวน Superkilen ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความหลากหลายของชุมชน โดยมีองค์ประกอบจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก สวนนี้ช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความสามัคคีในชุมชน

3. สิงคโปร์ – Marina Bay

พื้นที่ Marina Bay ในสิงคโปร์เป็นตัวอย่างของการทำ Place Making ที่ยิ่งใหญ่ รวมถึงโครงสร้างที่โดดเด่นอย่าง Marina Bay Sands และ Gardens by the Bay พื้นที่นี้มีการผสมผสานพื้นที่สีเขียว ทางเดินคนเดิน และศิลปะสาธารณะ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมเมืองที่มีชีวิตชีวาและสนับสนุนทั้งการท่องเที่ยว ธุรกิจ และกิจกรรมของชุมชน

Place Making เพื่อการเปลี่ยนแปลงเมืองให้น่าอยู่กว่าเดิม

ในอนาคต แนวคิด Place Making ยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เมืองต่างๆ จะสามารถนำแนวทางนี้ไปใช้เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรได้อย่างแท้จริง การทำ Place Making ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงพื้นที่ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับคนทุกคนในชุมชน

ด้วยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การทำ Place Making สามารถเปลี่ยนแปลงเมืองทั่วโลกให้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สร้างความภาคภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ ดังนั้น แนวคิดนี้จึงควรได้รับการสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคน.

ผู้เขียน: จินต์ศุจี มณฑิราลัยพร

ที่มา:

https://www.citizenlab.co/blog/neighborhoods-community-development/5-examples-of-placemaking-in-community-engagement/ 

https://placemaking-europe.eu/what-is-placemaking/#:~:text=Placemaking%20is…-,Placemaking%20is%20an%20approach%20to%20urban%20planning%20and%20design%20that,%2C%20work%2C%20and%20play%20there

https://calvium.com/5-of-the-worlds-most-creative-placemaking-projects/ 

https://www.philmyrick.com/sb/top-10-examples-of-creative-placemaking-projects/#:~:text=Millennium%20Park%2C%20Chicago%2C%20USA,attracts%20visitors%20and%20locals%20alike

https://sangsehanat-s.medium.com/placemaking-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-84725948df11

RECOMMEND

Superfansindex.com
read more
13.09.2024 29

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบรนด์เราสุขภาพดีแค่ไหน?

ในหลายๆ ธุรกิจมักจะนึกถึงยอดขายที่จะทำให้รู้สึกว่าแบรนด์เรายังมีลูกค้าซึ่งก็ส่งผลต่อสุขภาพของแบรนด์ได้เช่นเดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วแบรนด์คุณอาจจะสุขภาพไม่ดีก็ได้ เหมือนร่างกายคนถ้าไม่ไปตรวจสุขภาพเราก็จะไม่รู้ว่าข้างในร่างกายเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ภายนอกเรายังรู้สึกปกติอยู่  เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเกิดปัญหา และอาจส่งผลให้ปัญหานั้นลามใหญ่โตซึ่งต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการแก้ไข การวิจัยตรวจสอบสุขภาพแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์ควรจะทำอย่างต่อเนื่อง เปรียบเหมือนการเอ๊กซเรย์แบรนด์…เพราะหากรู้ก่อนย่อมสามารถแก้ปัญหาได้เร็วกว่า จากภาพข้างต้นหากทุกแท่งมีฐานที่กว้าง การันตีได้เลยว่าแบรนด์คุณสุขภาพดี เพราะการลงงบไปกับสื่อหรือการสร้างประสบการณ์นั้นสามารถได้ใจลูกค้าจนเกิดความเป็น Superfans ได้ (ความเป็น Superfans ของแบรนด์ คือ ขั้นสุดที่แบรนด์ควรไปให้ถึงและเก็บให้ได้มากที่สุด หรือที่เราเรียกว่า สาวกของแบรนด์)  รูปแบบการตรวสอบสุขภาพแบรนด์  โดยทั่วไปสามารถพบได้ 3 รูปแบบ 1.การวิจัยเพื่อตรวจสอบรายปี  เหมาะสำหรับแบรนด์/ องค์กรที่มีการลงงบการตลาด การทำแคมเปญต่างๆ ในช่วงระหว่างปี เพื่อให้เราสามารถรู้ได้ว่ารู […]

read more
11.09.2024 36

ตลาด Sustainable Fashion กับการเติบโต 22.9% ต่อปี

Sustainable Fashion หรือ แฟชั่นแบบยั่งยืนที่เคยเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ในอุตสาหกรรมแฟชั่นโดยรวม กำลังได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วเนื่องจากผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมมากขึ้น ในปี 2024 ตลาดแฟชั่นยั่งยืนระดับโลกมีมูลค่า 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตถึง 33.1 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2033 ด้วยอัตรา CAGR 22.9% ในช่วงคาดการณ์ปี 2024 – 2033 แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ผลกระทบของแฟชั่นยั่งยืนกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากแบรนด์และผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างนำแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนเข้ามาใช้ในธุรกิจของตน การเพิ่มขึ้นของแบรนด์แฟชั่นยั่งยืน ร่วมกับการนำโครงการริเริ่มสีเขียวมาใช้โดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นแล้ว กำลังผลักดันตลาดให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมแรงหนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม อุตสาหกรรมแฟชั่นยั่งยืนมีโอกาสอีกมากมาย เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ต้องการความโปร่งใสในกระบวนการผลิตและการจัดหาวั […]

read more
11.09.2024 57

ทิศทาง Food delivery ทั้งไทยและต่างประเทศ

ตลาด Food Delivery ในไทยปี 2567 ยังมีเทรนด์ที่ลดลงต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้มีการประเมินว่าในปี 2567 มูลค่าตลาด Food Delivery จะอยู่ที่ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท  หรือหดตัว 1.0% จากปี 2566 แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารเฉลี่ยต่อครั้งน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น (Price per Order) ประมาณ 2.8% จากค่าเฉลี่ยในปี 2566 หรือ มีราคาเฉลี่ยประมาณ 185 บาทต่อครั้งของการสั่ง ซึ่งจะมีผลตามมาต่อทั้งจำนวนครั้งและปริมาณการสั่งให้ลดลง ปัจจุบัน ตลาด Food Delivery ในหลายประเทศกำลังเผชิญกับแนวโน้มขาลงไม่ต่างจากประเทศไทย แม้ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเห็นการเติบโตชะลอตัวเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้บริการต้องปรับราคาให้สูงขึ้นเพื่อรักษากำไร ขณะที่ในญี่ปุ่น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการจัดส่งและการแข่งขันจากผู้เล่นหลายราย ทำให้บริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและกำไร  การเติบโตของตลาด Food Delivery ทั่วโลก รายได้ในตลาดบริการจัดส่งอาหารออนไลน์คาดว่าจะสูงถึง 1.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 แล […]

read more
06.09.2024 119

ตลาด Sustainable Dining กับการเติบโต 6.9% ต่อปี

Sustainable Dining หรือ การรับประทานอาหารอย่างยั่งยืนหมายถึงการเลือกอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม แนวทางการรับประทานอาหารนี้เน้นที่การบริโภคอาหารที่ผลิตและเตรียมในลักษณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น การรับประทานอาหารอย่างยั่งยืนอาจเกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติต่างๆ เช่น การเลือกส่วนผสมจากแหล่งท้องถิ่นและออร์แกนิก การลดขยะอาหาร การเลือกอาหารจากพืชและการสนับสนุนร้านอาหารและธุรกิจที่ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เป้าหมายหลักคือการสร้างระบบอาหารที่สามารถรักษาคนรุ่นต่อไปได้โดยไม่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหมดสิ้นหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศ โดยมูลค่าตลาดอาหารที่ยั่งยืนมีมูลค่า 1,066.2 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะถึง 1,945.38 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2032 โดยเติบโตที่อัตรา CAGR 6.91% ตั้งแต่ปี 2024-2032 แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่กว้างขึ้นสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้บริโภคและความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เมื่อการรับประทานอาหารที่ยั่งยืนกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น จึงมีศัก […]

read more
06.09.2024 125

Urban Farming การทำเกษตรในเมือง

ในขณะที่เมืองทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นในการหาแหล่งอาหารที่ยั่งยืนก็มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม การทำเกษตรในเมือง ซึ่งเคยเป็นเพียงแค่แนวคิดเล็กๆ กำลังกลายเป็นขบวนการที่ทรงพลังซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เราคิดเกี่ยวกับการผลิตอาหารและการใช้ชีวิตในเมือง โดยการเปลี่ยนหลังคาอาคาร ที่ดินว่างเปล่า หรือแม้แต่ระเบียงเล็กๆ ให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่เจริญรุ่งเรือง การทำเกษตรในเมืองเสนอโซลูชั่นใหม่สำหรับการแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่เมืองสมัยใหม่กำลังเผชิญ การทำเกษตรในเมืองคืออะไร การทำเกษตรในเมือง หรือ Urban Farming คือ การปลูกอาหารภายในสภาพแวดล้อมของเมือง โดยมักใช้พื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แตกต่างจากการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้พื้นดินในชนบทอย่างกว้างขวาง การทำเกษตรในเมืองสามารถผสมผสานเข้ากับพื้นที่ของเมืองได้ ซึ่งอาจหมายถึงทุกอย่างตั้งแต่สวนชุมชนในที่ดินว่าง ไปจนถึงฟาร์มแนวตั้งบนด้านข้างของอาคารหรือระบบไฮโดรโปนิกส์ในห้องใต้ดิน ประโยชน์ของการทำเกษตรในเมือง ความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำเกษตรในเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืน การผลิตอาหารในท้องถิ่ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง