ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่
ปรากฏการณ์ “แสงจากดาวเทียม” คืออะไรเเล้วกระทบกับเรามากแค่ไหน
ทุกวันนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป ในยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำจำนวนมหาศาลได้เริ่มทิ้งร่องรอยเป็นเส้นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้า ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ “มลภาวะแสงจากดาวเทียม” (Satellite Light Pollution) แก่นของปัญหาคือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบวัตถุในวงโคจร ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์เซลล์หรือเสาอากาศ กลับมายังโลก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านหมู่ดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง
ทำไมปัญหานี้จึงเด่นชัดขึ้นในวันนี้? หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักคือปริมาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ โครงการกลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellations) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสำรวจโลก ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนับหมื่นดวง และยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต หรือหากมองภาพง่ายๆ คือท้องฟ้าที่เเน่นไปด้วยหมู่ดาวเทียม ทำให้ภารกิจในการเฝ้ามองอวกาศของหลายๆ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอวกาศมีอุปสรรค หากเป็นอย่างนั้น ปัญหาคือการมองออกไปข้างนอกโลกได้ลำบากขึ้น เราจะใช้เฉพาะกล้องโทรทรรศน์อวกาศแทนกล้องภาคพื้นดินได้หรือไม่? คำตอบคือ “อาจจะไม่ได้” เพราะทั้งสองอย่างมีเป้าหมาย ข้อดี และข้อจำกัดต่างกัน กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินมีงานหลักเป็นการสำรวจอวกาศ เช่น การสำรวจท้องฟ้าในวงกว้าง (wide-field surveys) อย่างโครงการ Vera C. Rubin Observatory ที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งหมดซ้ำๆ เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลง อาทิ การระเบิดของดาวฤกษ์หรือการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเป็นงานที่กล้องอวกาศที่มีมุมมองแคบกว่าทำได้ยาก นอกจากนี้กล้องภาคพื้นดินยังผลิตและส่งข้อมูลปริมาณมหาศาลได้แบบใกล้เรียลไทม์ สามารถบำรุงรักษา อัปเกรด และติดตั้งเครื่องมือรุ่นใหม่ได้ต่อเนื่อง ทำให้อายุการใช้งานยาวนานและทันสมัย และยังสร้างได้หลากหลายขนาดเพื่อภารกิจเฉพาะทาง ในขณะที่ต้นทุนกล้องโทรทรรศน์อวกาศสูงกว่าหลายร้อยเท่า
‘ประกายรอยข่วน’ บนท้องฟ้า ผลกระทบในยุคใหม่ที่ส่งผลทั้งต่อนักวิทยาศาสตร์และคนทั่วไป
ผลกระทบที่มองเห็นได้จึงแผ่ขยายจากนักดูดาวสู่การวิจัย คนทั่วไปและนักถ่ายภาพพบว่าประสบการณ์ดูดาวไม่สมบูรณ์ดังเดิม ผืนฟ้าที่ควรเต็มไปด้วยจุดแสงระยิบระยับกลับถูกรบกวนด้วยเส้นแสงที่เคลื่อนผ่าน ด้านการศึกษาและท่องเที่ยว กิจกรรมดูดาวจำเป็นต้องวางแผนรัดกุมขึ้น ใช้ข้อมูลพยากรณ์การเคลื่อนที่ของดาวเทียมประกอบ และสื่อสารให้ผู้ร่วมกิจกรรมเข้าใจว่า “รอยเส้น” ไม่ใช่ความผิดพลาดของอุปกรณ์ หากเป็นธรรมชาติใหม่ของท้องฟ้ายุคปัจจุบัน ส่วนวงการวิทยาศาสตร์ต้องแบกรับ “ต้นทุนที่ซ่อนอยู่” หอดูดาวทั่วโลกต้องจัดการกับข้อมูลภาพถ่ายมหาศาลที่มีรอยเส้นปนเปื้อน ระบบประมวลผลอัตโนมัติจึงต้องพัฒนาให้ฉลาดพอจะแยกแยะระหว่างรอยเส้นจากดาวเทียมกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์จริง เช่น ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลกหรือการระเบิดของดาวฤกษ์ ส่งผลให้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มขึ้นในการคัดกรองข้อมูล จนทำให้หลายสถาบันเริ่มมี อาชีพเฉพาะทาง อย่าง ‘Satellite streak astronomer’ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลบรอยเส้นดาวเทียมและผู้ออกแบบโปรโตคอลสังเกตการณ์เพื่อลดความเสียหายของภาพ
ความกังวลถึงความมืดที่หายไปจะส่งกระทบต่อระบบนิเวศหรือไม่
ขณะเดียวกัน ยังมีคำถามด้านนิเวศวิทยาที่ควรแยกให้ชัดเจนว่าท้องฟ้าสว่างเกินไปมีผลต่อพืชพันธุ์หรือฤดูกาลหรือไม่ ประเด็นนี้ต้องแยกมลภาวะแสงสองประเภทออกจากกัน มลภาวะแสงจากดาวเทียมเป็นเส้นแสงที่เคลื่อนที่ผ่านเป็นช่วงๆ จึงไม่มีผลโดยตรงต่อพืชหรือฤดูกาล ทว่ามลภาวะแสงภาคพื้นดิน (sky glow) จากแสงเมือง ไฟถนน และอาคาร ที่ทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิท กลับส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อชีววิทยาของพืชผ่านกลไก “การตอบสนองต่อช่วงแสง” (photoperiodism) พืชจำนวนมากใช้วงจรความมืด และสว่างของวันเป็นสัญญาณกำหนดกิจกรรมตั้งแต่การออกดอกของพืชบางชนิดที่ต้องการคืนที่ยาวนาน ไปจนถึงการพักตัวในฤดูหนาวของไม้เมืองหนาว หากแสงกลางคืนรบกวน พืชอาจสับสน ออกดอกผิดเวลา ไม่พักตัว หรือเติบโตผิดปกติและอ่อนแอลง
อนาคตท้องฟ้า สมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่ต้องเดินหน้า และผลกระทบที่ต้องดูแล
สำหรับแนวโน้มในระยะยาว เมื่อจำนวนดาวเทียมเพิ่มต่อเนื่องโดยไม่มีการกำกับดูแลอย่างจริงจัง ผลกระทบอาจรุนแรงหลายมิติ เช่น สัญญาณสื่อสารจากดาวเทียมสามารถรบกวนการฟังสัญญาณแผ่วเบาจากเอกภพได้, ด้านความปลอดภัยของวงโคจร ความหนาแน่นของวัตถุที่เพิ่มสูงขึ้นย่อมเพิ่มความเสี่ยงการชน เกิดขยะอวกาศมหาศาลที่อาจนำไปสู่ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Kessler Syndrome จนวงโคจรต่ำไม่อาจใช้งานได้ในระยะยาว
นอกเหนือจากมิติทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีมิติทางวัฒนธรรม ท้องฟ้ายามคืนคือมรดกร่วมของมนุษยชาติ เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปะ วิทยาศาสตร์ และปรัชญามานานนับพันปี การที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสภาพไปย่อมกระทบความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เราจะเห็นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นรูปแบบหนึ่งคือ ‘การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์’ ด้วยรากของตัวมันเองที่มีความเชื่อมโยงกับความเชื่อ ความน่าค้นหา และประสบการณ์ที่ทำให้เรารับรู้ถึงพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ซึ่งเป็นค่านิยมที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น
ท้ายที่สุด มลภาวะแสงจากดาวเทียมคือสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่โลกและอวกาศเชื่อมโยงกัน เรากำลังแลกความสะดวกสบายของโครงข่ายการสื่อสารกับความท้าทายใหม่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่นี่ไม่ใช่ผลกระทบในเชิงลบเพียงอย่างเดียว ทุกนวัตกรรมจำเป็นต้องมี “ระบบดูแลผลกระทบ” ควบคู่กันไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะวางแผน ปรับตัว และใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจ ท้องฟ้าจะยังคงเป็นพื้นที่แห่งความพิศวงและความฝันได้ดังเดิม
ที่มา:
- https://phys.org/news/2023-03-astronomers-alarm-pollution-satellites.html
- https://www.space.com/astronomy/satellite-streaks-can-the-huge-new-vera-rubin-observatory-function-in-the-megaconstellation-age