Baramizi Lab logo

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่

20
10.2025
view
9
SHARE

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่

ปรากฏการณ์ “แสงจากดาวเทียม” คืออะไรเเล้วกระทบกับเรามากแค่ไหน

ทุกวันนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป ในยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำจำนวนมหาศาลได้เริ่มทิ้งร่องรอยเป็นเส้นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้า ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ “มลภาวะแสงจากดาวเทียม” (Satellite Light Pollution) แก่นของปัญหาคือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบวัตถุในวงโคจร ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์เซลล์หรือเสาอากาศ กลับมายังโลก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านหมู่ดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง

ทำไมปัญหานี้จึงเด่นชัดขึ้นในวันนี้? หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ปัจจัยหลักคือปริมาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ โครงการกลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellations) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสำรวจโลก ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนับหมื่นดวง และยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต หรือหากมองภาพง่ายๆ คือท้องฟ้าที่เเน่นไปด้วยหมู่ดาวเทียม ทำให้ภารกิจในการเฝ้ามองอวกาศของหลายๆ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอวกาศมีอุปสรรค หากเป็นอย่างนั้น ปัญหาคือการมองออกไปข้างนอกโลกได้ลำบากขึ้น เราจะใช้เฉพาะกล้องโทรทรรศน์อวกาศแทนกล้องภาคพื้นดินได้หรือไม่? คำตอบคือ “อาจจะไม่ได้” เพราะทั้งสองอย่างมีเป้าหมาย ข้อดี และข้อจำกัดต่างกัน กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินมีงานหลักเป็นการสำรวจอวกาศ เช่น การสำรวจท้องฟ้าในวงกว้าง (wide-field surveys) อย่างโครงการ Vera C. Rubin Observatory ที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งหมดซ้ำๆ เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลง อาทิ การระเบิดของดาวฤกษ์หรือการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเป็นงานที่กล้องอวกาศที่มีมุมมองแคบกว่าทำได้ยาก นอกจากนี้กล้องภาคพื้นดินยังผลิตและส่งข้อมูลปริมาณมหาศาลได้แบบใกล้เรียลไทม์ สามารถบำรุงรักษา อัปเกรด และติดตั้งเครื่องมือรุ่นใหม่ได้ต่อเนื่อง ทำให้อายุการใช้งานยาวนานและทันสมัย และยังสร้างได้หลากหลายขนาดเพื่อภารกิจเฉพาะทาง ในขณะที่ต้นทุนกล้องโทรทรรศน์อวกาศสูงกว่าหลายร้อยเท่า

‘ประกายรอยข่วน’ บนท้องฟ้า ผลกระทบในยุคใหม่ที่ส่งผลทั้งต่อนักวิทยาศาสตร์และคนทั่วไป

ผลกระทบที่มองเห็นได้จึงแผ่ขยายจากนักดูดาวสู่การวิจัย คนทั่วไปและนักถ่ายภาพพบว่าประสบการณ์ดูดาวไม่สมบูรณ์ดังเดิม ผืนฟ้าที่ควรเต็มไปด้วยจุดแสงระยิบระยับกลับถูกรบกวนด้วยเส้นแสงที่เคลื่อนผ่าน ด้านการศึกษาและท่องเที่ยว กิจกรรมดูดาวจำเป็นต้องวางแผนรัดกุมขึ้น ใช้ข้อมูลพยากรณ์การเคลื่อนที่ของดาวเทียมประกอบ และสื่อสารให้ผู้ร่วมกิจกรรมเข้าใจว่า “รอยเส้น” ไม่ใช่ความผิดพลาดของอุปกรณ์ หากเป็นธรรมชาติใหม่ของท้องฟ้ายุคปัจจุบัน ส่วนวงการวิทยาศาสตร์ต้องแบกรับ “ต้นทุนที่ซ่อนอยู่” หอดูดาวทั่วโลกต้องจัดการกับข้อมูลภาพถ่ายมหาศาลที่มีรอยเส้นปนเปื้อน ระบบประมวลผลอัตโนมัติจึงต้องพัฒนาให้ฉลาดพอจะแยกแยะระหว่างรอยเส้นจากดาวเทียมกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์จริง เช่น ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลกหรือการระเบิดของดาวฤกษ์ ส่งผลให้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มขึ้นในการคัดกรองข้อมูล จนทำให้หลายสถาบันเริ่มมี อาชีพเฉพาะทาง อย่าง ‘Satellite streak astronomer’ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลบรอยเส้นดาวเทียมและผู้ออกแบบโปรโตคอลสังเกตการณ์เพื่อลดความเสียหายของภาพ

ความกังวลถึงความมืดที่หายไปจะส่งกระทบต่อระบบนิเวศหรือไม่

ขณะเดียวกัน ยังมีคำถามด้านนิเวศวิทยาที่ควรแยกให้ชัดเจนว่าท้องฟ้าสว่างเกินไปมีผลต่อพืชพันธุ์หรือฤดูกาลหรือไม่ ประเด็นนี้ต้องแยกมลภาวะแสงสองประเภทออกจากกัน มลภาวะแสงจากดาวเทียมเป็นเส้นแสงที่เคลื่อนที่ผ่านเป็นช่วงๆ จึงไม่มีผลโดยตรงต่อพืชหรือฤดูกาล ทว่ามลภาวะแสงภาคพื้นดิน (sky glow) จากแสงเมือง ไฟถนน และอาคาร ที่ทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิท กลับส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อชีววิทยาของพืชผ่านกลไก “การตอบสนองต่อช่วงแสง” (photoperiodism) พืชจำนวนมากใช้วงจรความมืด และสว่างของวันเป็นสัญญาณกำหนดกิจกรรมตั้งแต่การออกดอกของพืชบางชนิดที่ต้องการคืนที่ยาวนาน ไปจนถึงการพักตัวในฤดูหนาวของไม้เมืองหนาว หากแสงกลางคืนรบกวน พืชอาจสับสน ออกดอกผิดเวลา ไม่พักตัว หรือเติบโตผิดปกติและอ่อนแอลง

อนาคตท้องฟ้า สมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่ต้องเดินหน้า และผลกระทบที่ต้องดูแล

สำหรับแนวโน้มในระยะยาว เมื่อจำนวนดาวเทียมเพิ่มต่อเนื่องโดยไม่มีการกำกับดูแลอย่างจริงจัง ผลกระทบอาจรุนแรงหลายมิติ เช่น สัญญาณสื่อสารจากดาวเทียมสามารถรบกวนการฟังสัญญาณแผ่วเบาจากเอกภพได้, ด้านความปลอดภัยของวงโคจร ความหนาแน่นของวัตถุที่เพิ่มสูงขึ้นย่อมเพิ่มความเสี่ยงการชน เกิดขยะอวกาศมหาศาลที่อาจนำไปสู่ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Kessler Syndrome จนวงโคจรต่ำไม่อาจใช้งานได้ในระยะยาว

นอกเหนือจากมิติทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีมิติทางวัฒนธรรม ท้องฟ้ายามคืนคือมรดกร่วมของมนุษยชาติ เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปะ วิทยาศาสตร์ และปรัชญามานานนับพันปี การที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสภาพไปย่อมกระทบความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เราจะเห็นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นรูปแบบหนึ่งคือ ‘การท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์’ ด้วยรากของตัวมันเองที่มีความเชื่อมโยงกับความเชื่อ ความน่าค้นหา และประสบการณ์ที่ทำให้เรารับรู้ถึงพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ซึ่งเป็นค่านิยมที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น

ท้ายที่สุด มลภาวะแสงจากดาวเทียมคือสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่โลกและอวกาศเชื่อมโยงกัน เรากำลังแลกความสะดวกสบายของโครงข่ายการสื่อสารกับความท้าทายใหม่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่นี่ไม่ใช่ผลกระทบในเชิงลบเพียงอย่างเดียว ทุกนวัตกรรมจำเป็นต้องมี “ระบบดูแลผลกระทบ” ควบคู่กันไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะวางแผน ปรับตัว และใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจ ท้องฟ้าจะยังคงเป็นพื้นที่แห่งความพิศวงและความฝันได้ดังเดิม


ที่มา:

 

RECOMMEND

read more
20.10.2025 9

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่

ปรากฏการณ์ “แสงจากดาวเทียม” คืออะไรเเล้วกระทบกับเรามากแค่ไหน ทุกวันนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป ในยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำจำนวนมหาศาลได้เริ่มทิ้งร่องรอยเป็นเส้นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้า ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ “มลภาวะแสงจากดาวเทียม” (Satellite Light Pollution) แก่นของปัญหาคือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบวัตถุในวงโคจร ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์เซลล์หรือเสาอากาศ กลับมายังโลก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านหมู่ดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ทำไมปัญหานี้จึงเด่นชัดขึ้นในวันนี้? หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักคือปริมาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ โครงการกลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellations) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสำรวจโลก ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนับหมื่นดวง และยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต หรือหากมองภาพง่ายๆ คือท้องฟ้าที่เเน่นไปด้วยหมู่ดาวเทียม ทำให้ภารกิจในการเฝ้ามอ […]

T-Beauty
read more
08.10.2025 319

จาก T-Pop สู่ T-Beauty: เมื่อวัฒนธรรมไทยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงาม

ปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จของแบรนด์ T-Beauty ความนิยมและความเติบโตของตลาด T-Beauty ตลาดความงามในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่ารวมมากกว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9-10% ตลาดนี้ได้นำเสนอระบบนิเวศน์ครบวงจรที่ผสมผสานวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดดิจิทัล โดยมีแบรนด์ไทยเป็นที่สนใจและได้รับการยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น การจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางค้าปลีกหลักๆ มีบทบาทสำคัญ อิทธิพลของวัฒนธรรมและไอดอล T-Pop ความสำเร็จของ T-Beauty ได้รับแรงสนับสนุนจากวัฒนธรรมป๊อปไทยหรือ T-Pop เช่น นักแสดงจากละครแนว BL และศิลปินดังอย่าง Lisa จาก BLACKPINK ที่กลายเป็นหน้าโฆษณาของแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ ลักษณะความงามที่เน้นความเป็นธรรมชาติ แบบ “Swai Meiku” คือความสมดุลระหว่างสไตล์เอเชียและตะวันตกที่ดูสวยแบบไม่ตั้งใจแต่ตั้งใจ ทำให้เกิดกระแสแรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เทรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซรั่ม Exosome, ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Growth Factors และเปปไทด์ ซึ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพผิวตามชีววิทยาเ […]

thai cities safety resilience trend
read more
02.10.2025 372

แนวโน้มจะเป็นอย่างไรเมื่อ World Bank เตือน GDP ไทยอาจลด 7-14% ในปี 2593 เพราะภัยพิบัติโลกร้อน

แม้เราจะเดินทางมาถึงช่วงท้ายของปี 2025 แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบข้อมูลย้อนหลัง จำนวนภัยพิบัติทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากเพียง 23 ครั้งในปี 1950 กลายเป็นกว่า 361 ครั้งในปี 2019 ซึ่งล้วนเเล้วเเต่เป็นผลของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับประเทศไทย แม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 258 ล้านตัน คิดเป็น 0.76% ของการปล่อยทั้งหมดทั่วโลกในปี 2020 (ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24) แต่กลับถูกจัดอยู่ใน ประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ความเสี่ยงนี้ครอบคลุมเกือบทุกมิติ ตั้งแต่ผลผลิตทางการเกษตรและประมงชายฝั่ง ไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และฐานทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่เป็นเสน่ห์สำคัญของประเทศ รายงานของ ธนาคารโลก (World Bank) ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เตือนว่า หากไทยยังขาดมาตรการรับมือที่จริงจัง ภาวะโลกร้อนอาจทำให้ GDP ของประเทศลดลงถึง 7–14% ภายในปี 2593 โดยเฉพาะต่อประชากรเปราะบางกว่า 9.4 ล้านคน ซึ่งมีมากถึง 8 ล้านคนที่อย […]

Wellness Economy 5.0
read more
25.09.2025 261

Wellness Economy 5.0 พลังขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก

แนวคิดเศรษฐกิจสุขภาพยุคใหม่ในไทยธุรกิจไหนได้ประโยชน์มากที่สุด Wellness Economy 5.0 Wellness Economy 5.0 คือแนวคิดเศรษฐกิจสุขภาพยุคใหม่ในไทย ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยยึดสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะในยุคที่ไทยกำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ (super-aged society) ภายในปี 2033 แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่คือการส่งเสริมการใช้ชีวิตเชิงป้องกันและทำให้สุขภาพดีเป็นวิถีชีวิตที่รวมถึงความงาม อาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ Key Idea ของ Wellness Economy 5.0 มุ่งเน้นความสมดุลทั้งทางกาย ใจ อารมณ์ และสังคมผ่านการดำเนินชีวิตที่ดี เกิดการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และรูปแบบการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผลักดันธุรกิจความงาม อาหารเพื่อสุขภาพ บริการออกกำลังกาย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมหลัก รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมลงทุนและพัฒนาระบบสาธารณสุขและ wellness hubs เพื่อรองรับตลาดผู้สูงวัยและสุขภาพดีแบบองค์รวม Wellness Economy ในไทยปี 2023 มีมูลค่าตลาดประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท เติบโตสูงจากกลุ่มนักท่องเที่ยวสุขภาพที่เพิ่มขึ้นและการผสมผสาน […]

Longevity Trend
read more
24.09.2025 240

Longevity Trend
”เมื่อ ‘วัยทำงาน’ ยาวนานขึ้น โอกาสของคนรุ่นใหม่จะเหลือเท่าไหร่?”

อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ปีในทุกๆ 10 ปี) ตำแหน่งงานเก่าๆ ยังไม่ว่างให้คนรุ่นใหม่เข้าทำงาน Longevity Trend แนวโน้ม Longevity Trend หรือแนวโน้มคนมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้คนจำนวนมากเลือกหรือจำเป็นต้องเกษียณช้าลงจากเดิม โดยอายุเกษียณที่เคยอยู่ราว 60 ปี เริ่มถูกปรับเพิ่มเป็น 65 ปีขึ้นไป ทั้งในไทยและในหลายประเทศ เพราะคนมีสุขภาพดีขึ้น เรียนรู้และทำงานได้นานขึ้น พร้อมกับระบบสวัสดิการและนโยบายที่สนับสนุนให้คนยังคงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะที่การเกษียณช้าช่วยให้มีรายได้และสวัสดิการทางการเงินที่มากขึ้น ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการแยกตัวจากสังคมได้ด้วย และการทำงานต่อเนื่องยังช่วยให้สมองและร่างกายได้รับการกระตุ้น ช่วยยืดอายุขัยโดยรวม สาเหตุของการเกษียณช้าลง อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ปีในทุกๆ 10 ปี) คนสูงอายุในยุคใหม่มีสุขภาพดีขึ้น เขียนได้ ชำนาญและมีประสบการณ์มากกว่ารุ่นก่อน ระบบสวัสดิการ ศูนย์ดูแลสุขภาพ และโครงสร้างทางสังคมที่สนับสนุนให้คนสูงอายุทำงานต่อได้ ความจำเป็นด้านการเงิน เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอจากเงินออมและ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง