Baramizi Lab logo

The Future of Robo Taxi อนาคตของแท็กซี่ที่ไร้คนขับ

The Future of Robo Taxi อนาคตของแท็กซี่ที่ไร้คนขับ

‘Robotaxi’ หรือ แท็กซี่ไร้คนขับที่ใช้ยานพาหนะแบบระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง มีระดับ SAE automation ที่เลเวล 4-5 ที่เป็นเกณฑ์วัดระดับของยานพาหนะตั้งแต่ระบบแมนนวลไปจนถึงระดับอัตโนมัติสูงสุดโดยลูกค้าสามารถเรียก Robotaxi ไปยังสถานที่ใดก็ได้และเดินทางไปที่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย โดยหนึ่งในเทคโนโลยี Robo Taxi ใช้คือตัวยานพาหนะจะติดตั้งเซ็นเซอร์ LiDAR ไว้หลายจุดเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำทาง การประมวลผลข้อมูลและการโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำด้วยความช่วยเหลือจากเซ็นเซอร์ทำให้ผู้โดยสารเดินทางได้อย่างไร้กังวล

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Robotaxi

ตลาดของ Robotaxi ทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยจะเติบโตจาก 2.71 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 4.32 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 59.5% และจากการคาดการณ์ในอนาคตตลาด Robotaxi จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยจะเติบโตเป็น 25.23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2571 มีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 55.5% การเติบโตที่คาดการณ์ไว้ในช่วงระยะเวลาคาดการณ์นั้นได้รับอิทธิพลจากความต้องการบริการเรียกรถโดยสารที่เพิ่มขึ้น การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูง การมุ่งเน้นของรัฐบาลในการลดก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเติบโตของการใช้พลังงานไฟฟ้าของยานพาหนะ

นอกจากนี้การเติบโตของ Robotaxi ในอนาคตคาดว่าจะได้รับแรงผลักดันจากการลดต้นทุนเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Robotaxi และแท็กซี่ทั่วไปหรือการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัว รวมถึงการขยายตัวของแนวโน้มการใช้รถร่วมกันและ Mobility-as-a-Service (MaaS) กำลังกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการใช้งาน Robotaxi ข้อกำหนดสำหรับการขนส่งในเมืองที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) รวมไปถึงมุมมองของผู้คนที่เปลี่ยนไปต่อรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติปัจจัยสำคัญเหล่านี้บ่งชี้ถึงอนาคตที่สดใสของตลาด Robotaxi โดยมีศักยภาพในการเติบโตที่สำคัญในปีต่อๆ ไป เนื่องจากบริการแท็กซี่ไร้คนขับถูกนำมาใช้งานร่วมกับระบบการขนส่งในเมืองมากขึ้น

ผู้นำโลกในตลาด Robotaxi

จากการทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ที่ต่อเนื่องมายาวนานหลายปี ปัจจุบันยานพาหนะจากหลายบริษัทเริ่มมีการนำระบบขับขี่อัตโนมัติไปใส่ในยานยนต์ของตนเองเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ผู้ขับขี่แทบไม่จำเป็นสำหรับยานพาหนะอีกต่อไป โดยประเทศแรกที่ได้รับอนุญาตในการเปิดบริการ Robotaxi เต็มรูปแบบสู่สาธารณะ คือ ประเทศจีน โดยบริษัท Baidu Inc. ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนที่ได้ทำการทดสอบ Robotaxi ของบริษัทตนอย่างเข้มงวด ยานพาหนะอัตโนมัติเหล่านี้ได้รับการทดสอบโดยมีผู้ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับและที่นั่งผู้โดยสาร หลังจากได้รับอนุญาต Baidu Inc. ก็ดำเนินการให้บริการ Robotaxi เต็มรูปแบบที่อู่ฮั่นและหยงฉวนในฉงชิ่ง

นอกเหนือจากประเทศจีน ยังมีประเทศสหรัฐอเมริกาที่เปิดให้ใช้บริการแท็กซี่ไร้คนขับแล้วเช่นกัน บริษัทที่เป็นเจ้าใหญ่ผู้คุมตลาด Robotaxi ให้บริการอยู่ตอนนี้ คือ บริษัท Waymo ซึ่งเจ้าของ คือ บริษัทแม่ของ Google โดย Waymo เริ่มให้บริการการเดินทางแบบไร้คนขับแก่ผู้โดยสารในซานฟราซิสโกเมื่อปีที่แล้วก่อนขยายการให้บริการไปยังฟีนิกซ์ ซึ่งในแรกเริ่มจะบริการฟรีให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนไว้จำนวน 50,000 คน ก่อนที่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าจะเปลี่ยนไปให้ชำระเงินตามปกติ พื้นที่การให้บริการของ Waymo ครอบคลุมถึง 63 ตารางไมล์ในแอลเอ ตั้งแต่ซานตาโมนิก้าไปจนถึงตัวเมือง และอีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานพาหนะที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติอย่าง Tesla ที่มีแพลนจะเปิดตัว Robotaxi เป็นของตัวเองในเดือนสิงหาคม 2567 นี้

ปัจจุบันนี้ได้มีบริษัทที่ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับเริ่มดำเนินการทดสอบหรือเปิดให้บริการกันมากขึ้นจากหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่

  1. สหรัฐอเมริกา : บริษัทต่างๆ เช่น Waymo, Cruise และ Zoox ได้ทำการทดสอบและให้บริการ Robotaxi ในเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาอย่างฟีนิกซ์ ซานฟรานซิสโกและลาสเวกัส
  2. จีน : บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, Didi Chuxing และ AutoX ได้ทำการทดสอบและให้บริการ Robotaxi ในเมืองต่างๆ อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจวและอู่ฮั่น
  3. สิงค์โปร์ : เป็นศูนย์กลางในการทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ โดยมีโครงการเกี่ยวกับยานยนต์อัตโนมัติ ชื่อว่า ‘Singapore Automous Vehicle Initiative (SAVI)’ และการทดลองที่ดำเนินการโดยบริษัท Aptiv และ Grab
  4. เยอรมนี : บริษัทต่างๆ เช่น Volkswagen, BMW และ Daimler ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติและทดสอบ Robotaxi บนถนนสาธารณะในเมืองต่างๆ อย่าง มิวนิกและสตุ๊ดการ์ท
  5. ญี่ปุ่น : บริษัทอย่าง Toyota และ Honda ได้ลงทุนในเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติและมีการทดลองใช้ Robotaxi ในเมืองต่างๆ อย่างโตเกียวและโยโกฮาม่า
  6. เกาหลีใต้ : บริษัท Hyundai และ Samsung กำลังทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติและมีการทดลองใช้ Robotaxi ในเมืองต่างๆ อย่างโซลและเซจู

สถานการณ์ของ Robotaxi ในอนาคต

ในปี 2574 ตลาด Robotaxi คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญซึ่งได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ด้วยการแพร่กระจายของปัญญาประดิษฐ์  และระบบอัตโนมัติ แม้ว่าแท็กซี่ไร้คนขับจะดูเหมือนมีอนาคตสดใสแต่ก็มีอุปสรรคหลายประการที่ต้องได้รับการพิจารณาก่อนนำไปใช้อย่างแพร่หลายและการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ประเด็นที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้มีดังนี้

    1. ข้อกังวลด้านความปลอดภัย

ด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร คนเดินเท้าและผู้ใช้ถนนรายอื่นๆ ที่กังวลถึงการนำ Robotaxi มาใช้งาน แม้ว่าเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติจะมีความก้าวหน้าอย่างมากแต่ก็มียังมีความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การจราจรที่ซับซ้อน สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยและการโต้ตอบกับผู้ขับขี่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้

    2.ข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี

เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิคบางอย่างที่รวมไปถึงการปรับปรุงความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของเซ็นเซอร์ การปรับปรุงอัลกอริธึมการตัดสินใจและการบรรลุประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

    3. การยอมรับจากสาธารณะ

การสร้างความไว้วางใจและการยอมรับของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการนำ Robotaxi มาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากยังมีหลายคนที่สงสัยหรือวิตกเกี่ยวกับควาปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของยานพาหนะ

    4. ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน

หากจะมีการใช้งาน Robotaxi อย่างจริงจัง อาจต้องมีการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อรองรับการขับขี่อัตโนมัติ เช่น การปรับปรุงเครื่องหมายบนถนน สัญญาณไฟจราจรและเครือข่ายการสื่อสาร เป็นต้น

    5. ผลกระทบด้านจริยธรรมและสังคม

การใช้ Robotaxi ทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและผลกระทบทางสังคม ซึ่งรวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างพนักงานขับรถ ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมและการเฝ้าระวังข้อมูล และการเข้าถึงการขนส่งแบบอัตโนมัติอย่างเท่าเทียมในสังคม

และถึงแม้ในอนาคต Robotaxi จะได้รับความนิยมและพัฒนาไปมากขนาดไหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยังคงมีผู้คนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการให้หุ่นยนต์ขับขี่แทนมนุษย์จริงๆ อยู่เป็นจำนวนมาก หากอยากให้ผู้คนเข้าใจถึงประโยชน์และหันมาใช้งานยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัตินี้ ทางที่ดีที่สุด คือ บริษัทที่ให้การผลิตและบริการจะต้องจัดการกับอุปสรรคและข้อจำกัดของแท็กซี่ไร้คนขับนี้ให้ได้เสียก่อนนั่นเอง

ผู้เขียน: จินต์ศุจี มณฑิราลัยพร

ที่มา: 

https://www.infosysbpm.com/blogs/business-transformation/fully-automated-driving-and-the-rollout-of-robo-taxis.html#:~:text=People%20can%20call%20a%20taxi,the%20environment%20in%20real%2Dtime

https://en.wikipedia.org/wiki/Robotaxi 

https://finance.yahoo.com/news/global-robo-taxis-market-witness-080100557.html?guccounter=1&guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&guce_referrer_sig=AQAAADKvd9JcIfo7qqj6tnAEOXp3OuJPbldwn6KUxK2iNsZfuXk1dr9wcFnJRQVvJ73ONJlDe45UzZ-AYW3fT8n6bHzy-EMl6v0mUzawYqfLGF3F_PNLYWhkBbsMSsT7K41vGb-iet0Yhkx0_0tI4niuFlVwabqfsSd5UKyNY-frWmii 

https://www.linkedin.com/pulse/robo-taxi-market-analysis-report-2024-market-dynamics-trend-tdt6e 

https://www.npr.org/2024/03/14/1238489046/waymo-robotaxi-los-angeles#:~:text=After%20more%20than%20a%20year,by%20Google’s%20parent%20company%20Alphabet

RECOMMEND

CTM Cafe
read more
15.09.2025 86

ชาตรามือออกแบรนด์ชา CTM
เดินตลาดตาม Trend Specialty Tea

ชาตรามือ แบรนด์ใหม่ CTM CTM หรือ Captivating Tea Muse เป็นแบรนด์ชาใหม่ล่าสุดจากชาตรามือ ที่เน้นชาพรีเมียมคัดสรรคุณภาพดีเยี่ยม ผสมผสานกับวัตถุดิบคุณภาพสูงเพื่อมอบประสบการณ์รสชาติที่แปลกใหม่และสนุกขึ้น แบรนด์นี้มีใบชาหลากหลายสายพันธุ์มากกว่า 10 ชนิด พร้อมเมนูเด่น เช่น ชาอู่หลงนางงาม ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ CTM ได้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านชาอย่างลึกซึ้งของชาตรามือเพื่อสร้างชาในมิติใหม่ที่เหนือชั้นกว่าเดิม อะไรทำให้ชาไทย Specialty เป็นเทรนด์ฮิตตอนนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมชาไทยที่มีการพัฒนาเชิงโครงสร้างในด้านคุณภาพของใบชา ความหลากหลายของแหล่งปลูก และกำลังการผลิต ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดค้าชารายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ผู้บริโภคไทยเริ่มรับรู้และสนใจเครื่องดื่ม Specialty มากขึ้น หลังจากที่กาแฟ Specialty ได้รับความนิยมก่อนหน้านี้ ทำให้มีการพัฒนาชาไทยแบบพรีเมียม ที่มีการคัดใบชาจากแหล่งปลูกหลากหลายทั่วไทย รวมถึงการใช้เทคนิคการชงที่ทันสมัย ชาไทย Specialty เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกใบชาคุณภาพสูงที่มีโน้ตรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวแตกต่างกันตามแหล่งปลูก เช่น ชาเชียงราย ชาแม่ฮ่องสอน […]

read more
12.09.2025 88

แนวโน้ม Trend สำคัญของโรงงาน ในปี 2025

โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและความเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้โรงงานต้องพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถในการคาดการณ์ ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดผู้บริโภค มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กลายเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดกลยุทธ์ของผู้ประกอบการโรงงานทั้งหลาย เทรนด์โรงงานแห่งอนาคต 1. Foresight Factories: โรงงานมองการณ์ไกล ระบบ Predictive Maintenance ช่วยระบุปัญหาก่อนเกิดเหตุจริง และใช้ Digital Twin ในการจำลองสถานการณ์ผลิตเพื่อปรับปรุงกระบวนการอย่างแม่นยำ ภายในปี 2025 อัตราการใช้ระบบอัตโนมัติจะเพิ่มจาก 69% เป็น 79% ขณะที่การเชื่อมต่อทุกกระบวนการช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 2. Decentralized Manufacturing: ผลิตแบบกระจายศูนย์ โรงงานขนาดเล็กเคลื่อนย้ายได้ พร้อมตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มพัฒนาชุดโรงงานย่อยที่ […]

Day One Tactics
read more
10.09.2025 270

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

ในโลกที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไป ตั้งแต่หาเพื่อน, หากลุ่มเฉพาะทางที่สนใจ, หางานที่ตรงสาย ไปจนหาเดตที่ใช่ ในทุกวันนี้ทุกอย่างกำลังกระจายตัวสู่ “แพลตฟอร์มตัวกลาง” ที่ทำให้คนอยากเจอกันได้เจอกันง่ายขึ้น แต่ความต้องที่ซับซ้อนอยู่ในตัวทุกคน เรามีความเหงาแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน แอปต่างๆ อาจทำให้การเริ่มบทสนทนาง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตรงใจ กลับกัน มันยิ่งตอกคำถามว่าเราจะรักษาความตั้งใจ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเวลาที่จ่ายลงไปอย่างไร ความซับซ้อนของพฤติกรรมทำให้รูปแบบการมองหาความสัมพันธ์เกิดความยากขึ้น ผู้ใช้งานพร้อมที่จะ ‘ยกเลิก’ ความสัมพันธ์ตลอดเวลา แทนที่การ ‘รักษา’ ให้คงไว้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมตัวเพื่อถอนตัวล่วงหน้า (Banksying), การค่อยๆ เว้นระยะห่างก่อนจากลา (Slow Fade), หรือ การหายไปเฉย ๆ ตัดการสื่อสารทันที (Ghosting) ซึ่งทั้งหมด มี “รากพฤติกรรมร่วม” คือการ หลีกเลี่ยงความอึดอัด (Avoidance), ปกป้องตนเองทางอารมณ์ (Self-Preservation) และ “ภาวะล้นทางเลือก” (Choice Overload) ซึ่งจะเกิดเป็น “ความเหนื่อยล้า” (Dating-App Fatigue) ภาวะทั้งหมดนี้ล้วนกระทบธุรกิจที่ซึ่งขาย ‘ควา […]

read more
08.09.2025 147

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?  อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์ นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ อาหารเหล่านี้อาจมีฉล […]

Vibe coding Trend
read more
05.09.2025 106

Vibe coding Trend คืออะไร? เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนาในอนาคตอย่างไร

Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง อนาคตของอาชีพนักพัฒนาจะเปลี่ยนไปอย่างไร Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง Vibe Coding คือแนวทางการพัฒนาโปรแกรมที่เน้นการทำงานร่วมกับ AI ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น คำสั่งภาษาอังกฤษ ให้ AI ช่วยสร้าง ปรับแต่ง และแนะนำโค้ดแบบไหลลื่นและมีความสร้างสรรค์สูง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัด ส่วน GitHub Copilot คือหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ช่วยแนะนำโค้ดระหว่างการเขียนจริง ๆ โดยมันจะเติมโค้ดหรือฟังก์ชันที่คาดว่าจะใช้ในบริบทนั้น ๆ แต่ยังต้องให้ผู้พัฒนาเป็นผู้เขียนและควบคุมหลัก ความแตกต่างหลักระหว่าง Vibe Coding กับ Copilot คือ Vibe Coding เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เน้นการใช้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยในการพัฒนาโค้ดทั้งโปรเจกต์ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติแบบโต้ตอบ ที่ช่วยให้การสร้างโค้ดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ขึ้น Copilot เป็นเครื่องมือหนึ่งใน Ecosystem ของ Vibe Coding ที่ให้การช่วยเติมโค้ดและแนะนำฟังก์ชัน แต่ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดแบบเดิมที่มีรูปแบบที่จำกัดและใช้คำสั่งโดยตรงน้อยกว่า เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนา […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง