Baramizi Lab logo

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? ตีแผ่วิธีการ…การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจ

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? ตีแผ่วิธีการ…การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจ

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจต้องไม่จำกัดวิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ วิจัยเชิงปริมาณ วิจัยตลาด วิจัยเพื่อการออกแบบ ยึดโจทย์ทางธุรกิจเป็นที่ตั้งที่สำคัญแล้วจะใช้กระบวนการใดหรือจะผสมผสานอย่างไรก็ได้ให้มุ่งเป้าคำตอบได้สูงสุด

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ นักสร้างแบรนด์ นักออกแบบ หรือนักพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทุกท่านเคยมีความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ หรืองงงวยกับผลลัพธ์ทางการตลาดที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางการเดินหน้าในธุรกิจของคุณบ้างมั้ยคะ… นับไม่ถ้วนเลยใช่มั้ย การเผชิญกับโจทย์ที่สับสนงุนงงทางธุรกิจใครๆ ก็เป็นกันค่ะ แม้แต่ตัวดิฉันและทีมงานที่ทำธุรกิจในฐานะเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาก็เจอกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลูกค้าจะชอบผลงานที่เราเสนอมั้ย ลูกค้าจะหาเราเจอ ได้ยังไง ทำไมสิ่งนี้ที่เราคิดว่าดีแต่ปล่อยไปทำไมถึงแป้ก งานนวัตกรรมนี้ เหมาะแก่การลงทุนหรือไม่ ทำยังไงให้ลูกค้า Loyalty กับเรา แต่ด้วยธุรกิจของ Baramizi Lab มีลักษณะเป็น B2B (Business to Business) และเป็นลักษณะของการให้บริการที่ใกล้ชิด ได้พูดคุย ได้รับฟัง และสำรวจความคิดเห็นของผู้ร่วมงานด้วยกันตลอด หลายครั้งก็ถามกันได้ตรงๆ ทำให้ความสับสนงุนงงของธุรกิจ Baramizi Lab นั้นยังสามารถหาวิธีคลายข้อสงสัยได้ง่ายและรวดเร็ว แต่กับผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ในอีกหลายธุรกิจไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในธุรกิจที่เป็น B2C (Business to Consumer) ที่ลูกค้ามีจำนวนมากรายและแต่ละรายมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ไม่มาก หรือต่อให้เป็นธุรกิจบริการ ถ้าองค์กรใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ไม่มีทางที่ผู้บริหารหรือเจ้าของแบรนด์จะสัมผัสถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกค้าได้ตรงๆ เช่นเดียวกับธุรกิจ B2B (Business to Business) ที่มีลูกค้าจำนวนมากรายขึ้นมาหรือรูปแบบการให้บริการไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดลูกค้าจนสามารถเข้าใจที่อยู่เบื้องลึกในใจจริงๆ ของลูกค้าได้ สิ่งนั้นทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ต่างๆ นั้น อาจล้มเหลวหรือผิดพลาดได้ เพราะเราขาด “ข้อมูล” ที่ช่วยในการตัดสินใจ

ท่ามกลางโจทย์ที่หลากหลายของธุรกิจที่หลากหลาย Baramizi Lab ในฐานะที่ปรึกษาในด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจได้ปฏิบัติและสร้างผลงานทางการวิจัยเพื่อตอบแต่ละโจทย์ของธุรกิจใหญ่น้อยตลอดเส้นทางการเดินทางของพวกเรา ถ้าถามว่า “วิธีการวิจัยแบบไหนคือดีที่สุดสำหรับตอบปัญหาทางธุรกิจ?” จากประสบการณ์การทำงานย่างเข้าขวบปีที่ 13 บอกได้เลยว่า เราต้องไม่มีข้อจำกัดในการเลือกใช้เครื่องมือหรือวิธีจะเป็นการดีที่สุดค่ะ การที่เราสามารถรู้จักวิธีใช้ที่ได้จากทุกเครื่องมือรู้ให้มากพอว่าเครื่องมือเหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ออกมาหน้าตาอย่างไร? มี Character อย่างไร? และมีข้อจำกัดอะไรจะทำให้เราต่อกรกับทุกโจทย์ที่ท้าทายของธุรกิจได้

 

เครื่องมือและกระบวนการวิจัยมีด้วยกันหลายตัวค่ะ ถ้าจะแบ่งกว้างๆ แบบที่ Baramizi Lab มักจะวางเป็นอาวุธพร้อมใช้ เราแบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน

  1. วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
  2. วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)

2 ประเภทนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจ และการตลาดได้ยินกันบ่อยก็เป็น 2 วิธีการที่ยันพื้นจริงๆ แต่นอกจาก 2 วิธีการนี้ในยุค 4.0 ยังมีอีก 2 วิธีที่เข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและเริ่มเข้ามามีบทบาทบ้าง คือ

  1. เครื่องมือ Social Listening ซึ่งทำหน้าที่กวาด ความคิดเห็นในสังคมออนไลน์ ทำให้สามารถเห็นทิศทางและปริมาณของ Insight บางอย่างได้
  2. Online Poll คล้ายๆ กับการเก็บแบบสอบถามออนไลน์ แต่มาในรูปแบบของชุดคำถามสั้นๆ ถามกับกลุ่มคนที่เป็นสมาชิกที่มีการฝาก Profile ไว้แล้ว

“4 เครื่องมือในการทำวิจัยนี้ช่วยตอบโจทย์ในแต่ละวาระและโอกาสของโจทย์ทางธุรกิจในยุคนี้ได้ค่อนข้างลงตัวค่ะ ซึ่งในแต่ละโจทย์จะไม่ได้ใช้ครบทั้ง 4 เครื่องมือ ขึ้นอยู่กับหัวเรื่องที่ต้องการวิจัย”

 

รูปแบบการวิจัยและตัวอย่างผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัย

  1. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) – ในโจทย์ทางธุรกิจที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการเข้าใจ Insight กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมุ่งเน้นการคุยอย่างมีคุณภาพเพื่อเจาะเข้าไปถึงประเด็นที่อยู่ลึกจริงๆ ได้คำตอบระดับ Unmet Need (ความต้องการที่ซ่อนเร้น) และใช้จำนวนไม่มาก การประมวลผลก็ใช้เวลาน้อยที่สุดไปด้วย วิจัยเชิงคุณภาพจึงถูกใช้บ่อยที่สุดในการค้นคว้าโจทย์ทางธุรกิจ แต่ข้อจำกัดคือ ไม่สามารถให้มุมมองเชิงขนาดของความต้องการได้ กรณีต้องการตัวเลขประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ กระบวนการเชิงคุณภาพจะยังไม่เพียงพอ ระยะเวลาต่อโครงการประมาณ 1.5-2 เดือนขึ้นอยู่กับจำนวนตัวอย่าง

[คลิกรับฟัง การค้นหา Unmet Need]

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยเชิงคุณภาพ

FutureLabResearchOutcomeNeed Laddering

 

  1. วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) – คุณสมบัติสำคัญของกระบวนการนี้คือการสามารถอ่าน Insight ได้ในเชิงภาพรวมของตลาดและที่สำคัญคือสามารถเห็นสัดส่วนของความต้องการและ Insight แต่ละส่วนได้จึงช่วยประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ข้อจำกัดคือใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องใช้ทีมทำงานในระบบจำนวนมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้าหรือบริการไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง Baramizi Lab เคยรับโจทย์ศึกษาเกี่ยวกับแบรนด์ข้าว พบว่าใน 10 คนจึงจะพบคนที่เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ซื้อข้าวสารถุง 5 กก.ด้วยตัวเอง 1 คน แล้วพอขยับเป็นคนซื้อบ้านเดี่ยวระดับราค 20 ล้านบาท หรือรถยนต์คันละ 5 ล้านบาท ก็จะยิ่งทำให้งบประมาณในการได้มาต่อกลุ่มเป้าหมายสูงขึ้น เวลาและงบประมาณจีงนับเป็นข้อจำกัดสำคัญของกระบวนการนี้ ระยะเวลาต่อโครงการประมาณ 3-4 เดือน

 [คลิกเพื่อรับฟังการวิจัยทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกันอย่างไรได้ที่ Future Research Podcast].

 

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยเชิงปริมาณ

FutureLabResearchOutcome_TheDayAfterCrisis_การวิจัยเชิงปริมาณ

 

  1. การใช้ข้อมูลจาก Social Listening – เป็นการใช้เครื่องมือ Social Listening Tools ในการกวาดข้อมูลจากสังคมออนไลน์และทำการวิเคราะห์จัดกลุ่มหาความเชื่อมโยงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์และประเมินแนวโน้มต่างๆ วิธีการนี้เลือกใช้ในโจทย์ที่ต้องการหาแนวโน้มบางอย่าง เช่น แนวโน้มของเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจ เรื่องราวการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆ ตลอดจนชื่อเสียงของแบรนด์ในโลกออนไลน์ เป็นต้น การเลือกใช้กระบวนการนี้ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ประกอบกับวิธีการอื่นๆ เนื่องจากเสียงต่างๆ ในออนไลน์ยังไม่อาจแทนค่าเสียงทั้งหมดจริงๆ ได้ แต่ความน่าสนใจคือสามารถให้ทิศทางในขั้นต้นเพื่อเปิดช่องทางในการศึกษาเชิงลึกต่อไป ข้อดีของ Social Listening คือ ใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการได้มาซึ่งข้อมูลต่ำกว่า เหมาะกับโจทย์ที่ต้องการข้อมูลสดใหม่ หาไอเดียแบบเร็วๆ นำไปต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้เลยโดยความเสี่ยงไม่สูง เช่น ไอเดียเพื่อสร้างเรื่องราวการโฆษณา เป็นต้น ระยะเวลาต่อโครงการอยู่ที่ประมาณ 1 เดือน

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยโดยใช้ข้อมูล Social Listening

 สำหรับท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดอ่านได้ที่ เว็บไซต์ของศูนย์วิจัยด้านตลาดการท่องเที่ยว:(หัวข้อบทวิเคราะห์และงานวิจัย > งานวิจัย ททท. ที่เกี่ยวข้อง) ข้อมูลวิจัยการนำเสนอคุณค่าและเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวจากสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) โดยข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาแนวทางสร้างสรรค์เรื่องราวเพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 

  1. เครื่องมือ Online Poll – เป็นกระบวนการเก็บข้อมูลในยุคใหม่ที่ใช้หลักการเหมือนการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณคือใช้เป็นแบบสอบถาม แต่ทั้งหมดอยู่ในรูปแบบของออนไลน์ ซึ่งผู้ร่วมตอบแบบสอบถามจะเป็นกลุ่มสมาชิกที่มีตัวตนจริงในโลกออนไลน์แบ่งสัดส่วนตามช่วงวัยและภูมิภาคที่อยู่อาศัย ซึ่งเมื่อเป็นรูปแบบนี้คุณลักษณะสำคัญจึงเป็นเรื่องของความรวดเร็วและสามารถครอบคลุมพื้นที่การเก็บสำรวจได้ทุกภูมิภาคโดยได้ผลคำตอบในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือนในงบประมาณที่ไม่สูงมาก และยังสามารถเก็บสำรวจได้เรื่อยๆ ในทุกๆ เดือนอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของกระบวนการนี้คือ เหมาะกับโจทย์กว้างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนคนทั่วไปที่ระดับรายได้ปานกลาง ไม่เหมาะกับธุรกิจประเภท B2B หรือสินค้าที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างโจทย์ที่เหมาะสม เช่น การสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ การทดสอบไอเดียแคมเปญ หรือการวัดผลการ Launch แคมเปญต่างๆ ที่สื่อสารออกไป

 

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยโดยใช้ข้อมูล Online Poll

FutureLabResearchOutcomeTheDayAfterCrisis-OnlinePoll

 

เมื่อมีอาวุธพร้อมมือก็ทำให้ทุกโจทย์ทางธุรกิจสามารถต่อกรได้อย่างไม่เกินเอื้อม ที่เหลือคือการท้าทายไปกันต่อกับเนื้อหาคำถามและเครื่องมือในการล้วงลึกเจาะใจลงไปในห้วงลึกจิตใจของว่าที่ลูกค้ากันค่ะ ยังมีวิธีการและเรื่องราวเทคนิคสนุกๆ ในการเก็บข้อมูลแต่ละแบบอีกมาก นี่เป็นเพียงประตูขั้นแรกที่เป็นการเลือกกระบวนการ ความสามารถที่แท้จริงที่จะทำให้การวิจัยประสบความสำเร็จจะอยู่หลังจากนี้ไปค่ะ โดยยิ่งโจทย์ทางธุรกิจมีความชัดเจนมากเท่าไหร่ ทีมวิจัยก็จะสามารถยึดมั่นในโจทย์และออกแบบคำถามและเครื่องมือทางการวิจัยที่เหมาะสมและเจาะลึกได้ซึ่งเราจะมาแบ่งปันแลกเปลี่ยนกันในบทความครั้งต่อๆ ไปกันค่ะ

 

#FutureLabResearch #ResearchforBusiness #BaramiziLab #ศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคต

 

RECOMMEND

CTM Cafe
read more
15.09.2025 67

ชาตรามือออกแบรนด์ชา CTM
เดินตลาดตาม Trend Specialty Tea

ชาตรามือ แบรนด์ใหม่ CTM CTM หรือ Captivating Tea Muse เป็นแบรนด์ชาใหม่ล่าสุดจากชาตรามือ ที่เน้นชาพรีเมียมคัดสรรคุณภาพดีเยี่ยม ผสมผสานกับวัตถุดิบคุณภาพสูงเพื่อมอบประสบการณ์รสชาติที่แปลกใหม่และสนุกขึ้น แบรนด์นี้มีใบชาหลากหลายสายพันธุ์มากกว่า 10 ชนิด พร้อมเมนูเด่น เช่น ชาอู่หลงนางงาม ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ CTM ได้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านชาอย่างลึกซึ้งของชาตรามือเพื่อสร้างชาในมิติใหม่ที่เหนือชั้นกว่าเดิม อะไรทำให้ชาไทย Specialty เป็นเทรนด์ฮิตตอนนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมชาไทยที่มีการพัฒนาเชิงโครงสร้างในด้านคุณภาพของใบชา ความหลากหลายของแหล่งปลูก และกำลังการผลิต ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดค้าชารายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ผู้บริโภคไทยเริ่มรับรู้และสนใจเครื่องดื่ม Specialty มากขึ้น หลังจากที่กาแฟ Specialty ได้รับความนิยมก่อนหน้านี้ ทำให้มีการพัฒนาชาไทยแบบพรีเมียม ที่มีการคัดใบชาจากแหล่งปลูกหลากหลายทั่วไทย รวมถึงการใช้เทคนิคการชงที่ทันสมัย ชาไทย Specialty เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกใบชาคุณภาพสูงที่มีโน้ตรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวแตกต่างกันตามแหล่งปลูก เช่น ชาเชียงราย ชาแม่ฮ่องสอน […]

read more
12.09.2025 83

แนวโน้ม Trend สำคัญของโรงงาน ในปี 2025

โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและความเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้โรงงานต้องพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถในการคาดการณ์ ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดผู้บริโภค มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กลายเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดกลยุทธ์ของผู้ประกอบการโรงงานทั้งหลาย เทรนด์โรงงานแห่งอนาคต 1. Foresight Factories: โรงงานมองการณ์ไกล ระบบ Predictive Maintenance ช่วยระบุปัญหาก่อนเกิดเหตุจริง และใช้ Digital Twin ในการจำลองสถานการณ์ผลิตเพื่อปรับปรุงกระบวนการอย่างแม่นยำ ภายในปี 2025 อัตราการใช้ระบบอัตโนมัติจะเพิ่มจาก 69% เป็น 79% ขณะที่การเชื่อมต่อทุกกระบวนการช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 2. Decentralized Manufacturing: ผลิตแบบกระจายศูนย์ โรงงานขนาดเล็กเคลื่อนย้ายได้ พร้อมตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มพัฒนาชุดโรงงานย่อยที่ […]

Day One Tactics
read more
10.09.2025 191

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

ในโลกที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไป ตั้งแต่หาเพื่อน, หากลุ่มเฉพาะทางที่สนใจ, หางานที่ตรงสาย ไปจนหาเดตที่ใช่ ในทุกวันนี้ทุกอย่างกำลังกระจายตัวสู่ “แพลตฟอร์มตัวกลาง” ที่ทำให้คนอยากเจอกันได้เจอกันง่ายขึ้น แต่ความต้องที่ซับซ้อนอยู่ในตัวทุกคน เรามีความเหงาแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน แอปต่างๆ อาจทำให้การเริ่มบทสนทนาง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตรงใจ กลับกัน มันยิ่งตอกคำถามว่าเราจะรักษาความตั้งใจ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเวลาที่จ่ายลงไปอย่างไร ความซับซ้อนของพฤติกรรมทำให้รูปแบบการมองหาความสัมพันธ์เกิดความยากขึ้น ผู้ใช้งานพร้อมที่จะ ‘ยกเลิก’ ความสัมพันธ์ตลอดเวลา แทนที่การ ‘รักษา’ ให้คงไว้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมตัวเพื่อถอนตัวล่วงหน้า (Banksying), การค่อยๆ เว้นระยะห่างก่อนจากลา (Slow Fade), หรือ การหายไปเฉย ๆ ตัดการสื่อสารทันที (Ghosting) ซึ่งทั้งหมด มี “รากพฤติกรรมร่วม” คือการ หลีกเลี่ยงความอึดอัด (Avoidance), ปกป้องตนเองทางอารมณ์ (Self-Preservation) และ “ภาวะล้นทางเลือก” (Choice Overload) ซึ่งจะเกิดเป็น “ความเหนื่อยล้า” (Dating-App Fatigue) ภาวะทั้งหมดนี้ล้วนกระทบธุรกิจที่ซึ่งขาย ‘ควา […]

read more
08.09.2025 108

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?  อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์ นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ อาหารเหล่านี้อาจมีฉล […]

Vibe coding Trend
read more
05.09.2025 101

Vibe coding Trend คืออะไร? เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนาในอนาคตอย่างไร

Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง อนาคตของอาชีพนักพัฒนาจะเปลี่ยนไปอย่างไร Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง Vibe Coding คือแนวทางการพัฒนาโปรแกรมที่เน้นการทำงานร่วมกับ AI ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น คำสั่งภาษาอังกฤษ ให้ AI ช่วยสร้าง ปรับแต่ง และแนะนำโค้ดแบบไหลลื่นและมีความสร้างสรรค์สูง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัด ส่วน GitHub Copilot คือหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ช่วยแนะนำโค้ดระหว่างการเขียนจริง ๆ โดยมันจะเติมโค้ดหรือฟังก์ชันที่คาดว่าจะใช้ในบริบทนั้น ๆ แต่ยังต้องให้ผู้พัฒนาเป็นผู้เขียนและควบคุมหลัก ความแตกต่างหลักระหว่าง Vibe Coding กับ Copilot คือ Vibe Coding เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เน้นการใช้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยในการพัฒนาโค้ดทั้งโปรเจกต์ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติแบบโต้ตอบ ที่ช่วยให้การสร้างโค้ดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ขึ้น Copilot เป็นเครื่องมือหนึ่งใน Ecosystem ของ Vibe Coding ที่ให้การช่วยเติมโค้ดและแนะนำฟังก์ชัน แต่ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดแบบเดิมที่มีรูปแบบที่จำกัดและใช้คำสั่งโดยตรงน้อยกว่า เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนา […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง