Baramizi Lab logo

วัดผลการสร้างแบรนด์ยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ทุกคนยอมรับ?

index วัดผลการสร้างแบรนด์
04
07.2025
view
973
SHARE

วัดผลการสร้างแบรนด์ยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ทุกคนยอมรับ?

ก่อนจะพูดถึงกลยุทธ์หรือเครื่องมือไหนๆ อยากชวนคุณติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกก่อนนะคะ 
สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองว่า “แบรนด์” เป็น “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้”
และนั่นคือมุมมองที่ทำให้หลายคนยัง “ลังเล” ว่าจะลงทุนสร้างแบรนด์ดีไหม
แค่ลังเล อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว

✅ การลงทุนกับการสร้างแบรนด์คือสิ่งที่ถูกต้อง
✅ การสร้างแบรนด์ไม่จำเป็นต้องใช้งบเสมอไป เพราะการสร้างแบรนด์คือการควบคุมทุกจุดสัมผัสของลูกค้าให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เพียงแค่มีเข็มทิศที่แม่นยำ และควบคุมทุกประสบการณ์ให้ไปในทิศทางนั้น
หากมีงบ ก็สามารถเพิ่มพลังความสร้างสรรค์ให้แตกต่างจนลูกค้าจดจำได้ไม่รู้ลืม

🅾️ แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่มั่นใจคือ “จะวัดผลแบรนด์อย่างไร?”
ยอดขายขึ้นหมายถึงแบรนด์ดีหรือไม่? ถ้ายอดขายไม่ขึ้น แปลว่าแบรนด์แย่หรือเปล่า?
เราเข้าใจความสับสนตรงนี้ดีค่ะ เพราะแม้แต่คนที่อยู่ในวงการแบรนด์มานาน ยังต้องกลับมาตั้งคำถามนี้กับตัวเองอยู่บ่อย ๆ

Baramizi Lab กับการพัฒนาเครื่องมือวัดแบรนด์

Baramizi Lab (ซึ่งหมวกหนึ่งคือนักวิจัยเพื่อการพัฒนาแบรนด์) เข้าใจหัวอกหัวใจนักสร้างแบรนด์ทุกคนในเรื่องนี้ดีค่ะ เราจึงมีการ R&D ในการหาเครื่องมือเพื่อชี้วัดแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง จากคอนเทนต์ก่อนหน้าที่เราเขียนถึงแบรนด์ที่ดีวัดอย่างไร นั่นก็เป็นผลผลิตส่วนหนึ่งค่ะ จากการทำงานร่วมกับ รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ ประธานหลักสูตรบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจัดกลุ่มเครื่องมือวัดผลได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้:

กลุ่มที่ 1 รูปแบบของ Index ที่ชี้วัดความแข็งแรงหรือความทรงพลังของแบรนด์เปรียบเทียบกับแบรนด์คู่แข่ง

กลุ่มนี้ได้จากการทำวิจัยประเภทที่เรียกว่า “การตรวจสอบสุขภาพแบรนด์” (Brand Health Check) เวลาที่ผู้บริหารอยากทำการตรวจสอบ Index ในกลุ่มนี้ให้ชุดความรู้ไว้ค่ะว่าจะมีกลุ่ม Index ที่ให้ความหมายแตกต่างกันประมาณ 2 ชุด ได้แก่

1) ชุด Index ที่วัดคุณภาพของการสร้างแบรนด์เชิงปริมาณ

ดัชนีที่วัดความแข็งแรงด้านความทรงพลังของแบรนด์ ผ่าน “ปริมาณของการรับรู้” เช่น

  • Brand Awareness การรู้จักแบรนด์โดยรวม
  • Top of Mind การที่ลูกค้านึกถึงแบรนด์เป็นอันดับแรก
  • Unaided Awareness การรู้จักโดยไม่ต้องมีการกระตุ้น
  • The Most Admired/Favourite Brand แบรนด์ที่ลูกค้าชื่นชอบที่สุด
  • The Most Usage แบรนด์ที่ลูกค้าใช้งานมากที่สุด

ที่หัวข้อการประเมินเหล่านี้เป็นมุมมองความแข็งแรงแบบเชิงปริมาณเนื่องจากวิธีการสำรวจจะเป็นไปในลักษณะวัดสัดส่วนของผู้ที่ตอบแบรนด์เราเมื่อเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่ตอนแบบสอบถามทั้งหมด นับเป็นกลุ่ม Index ที่แบรนด์ขนาดใหญ่ควรต้อง Monitor เนื่องจากเป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนการใช้งบการดำเนินงานเกี่ยวกับแบรนด์ในแต่ละปีได้เป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกับแบรนด์ที่ Size เล็กลงมา การสร้างการรู้จักในแบรนด์อาจไม่ได้ Cover ทั้งตลาดตัวชี้วัดนี้อาจไม่เหมาะมากนักค่ะ

งานเวทีประกาศรางวัลหรืองานวิจัยกลางที่เนื้อหาการวัดผลให้ความหมายในลักษณะนี้ได้ค่อนข้างดี เช่น The Most Powerful Brand (แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในแต่ละหมวดหมู่) ของภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทำการสำรวจทุกๆ 2 ปี

รูปภาพอ้างอิงจาก:

Chula announces The Most Powerful Brands of Thailand 2024. เผยแพร่ผ่านเพจ BrandBuffet
เข้าถึงได้จาก: https://www.brandbuffet.in.th/2024/08/chula-announces-the-most-powerful-brands-of-thailand-2024/

2) ชุด Index ที่วัดคุณภาพของการสร้างแบรนด์เชิงคุณภาพ

ดัชนีที่เน้นวัด “ประสบการณ์และความรู้สึกของลูกค้า” ที่มีต่อแบรนด์ เช่น

  • Brand Superfans Index อัตราความเป็นสาวกของแบรนด์
  • Brand Experience Index ระดับความพึงพอใจต่อประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์
  • Brand Customer Value Index การรับรู้ถึงคุณค่าที่แบรนด์มอบให้
  • Brand Image ภาพลักษณ์ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์
  • Net Promoter Score (NPS) ความเต็มใจในการแนะนำแบรนด์ต่อผู้อื่น

ลักษณะของ Index ที่เป็นการสร้างแบรนด์เชิงคุณภาพ เป็นการสำรวจในลักษณะ Recruit คนที่รู้จักหรือได้สัมผัส ได้ใช้บริการแบรนด์ แล้วชวนให้พิจารณาประเด็นต่างๆ ที่สะท้อนคุณภาพของแบรนด์ว่าแบรนด์ทำได้ดีมากน้อยแค่ไหนในแต่ละส่วน โดยทำการให้คะแนนประเมิน 1-5 บ้างหรือ 0-10 บ้าง แล้วแต่ทฤษฎีค่ะ การประเมินลักษณะนี้ เหมาะกับแบรนด์ทุกขนาด ใช้งานได้หมดค่ะ และกรณีเป็นเวทีการแข่งขันจะสามารถทำให้แบรนด์ใหญ่และแบรนด์เล็กแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียมด้วยค่ะ 

งานเวทีประกาศรางวัลหรืองานวิจัยกลางที่มีการเผยแพร่เนื้อหาการวัดผลที่ให้ความหมายในลักษณะนี้ได้ค่อนข้างดี เช่น รางวัล Thailand Brand Superfans Awards ที่กลุ่มบริษัท บารามีซี่ กรุ๊ป ร่วมกับภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีการประกาศรางวัลและเผยแพร่ไปในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมาค่ะ นอกเหนือจากนี้เวทีสำคัญของวงการอย่าง The Most Admired Brand ของสื่อชั้นนำอย่าง BrandAge เมื่อพิจารณาจากมิติชี้วัดก็กล่าวได้ว่าอยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ

Thailand Brand Superfans 2024

รูปภาพอ้างอิงจาก:

BIBF – Bangkok International Branding Festival (2024), เผยแพร่ผ่านเพจ Baramizi Consultant
เข้าถึงได้จาก: https://www.facebook.com/share/p/1AzdbxWLXS/

หมายเหตุ: การประเมินในลักษณะนี้ผลอาจจะมีลักษณะเป็นคะแนนเฉลี่ยเต็ม 10 หรือเต็ม 100 คะแนน แต่ถ้าทุกคนได้ไปดูผลคะแนนที่ประกาศของ Thailand Brand Superfans Awards 2024 จะเห็นผลประกาศเป็น % ค่ะ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราตีความผลในลักษณะคล้ายๆ กับ NPS หรือ Net Promoter Score ซึ่งมีการตีความผลการให้คะแนนไปสู่การนับเป็นสัดส่วนค่ะ แต่ตัวมันยังคงให้ความหมายเชิงคุณภาพอยู่ค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับตัวชี้วัดกลุ่มที่ 1 นี้คะ การประเมินตัวเองของแบรนด์ก็ช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว และดีขึ้นไปอีกที่เวทีหรืองานวิจัยกลางที่มีหน่วยงานที่เป็นกลางทำไว้สามารถให้มุมมองถึงคะแนน Benchmark ของตลาดในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ผู้บริหารน่าจะมี Benchmark ในใจหรือกำหนดเป็นตัวเลขตัวชี้วัดให้กับทีมทำงานได้ค่ะ

กลุ่มที่ 2: การประเมินมูลค่าแบรนด์เป็นตัวเงิน

กลุ่มนี้น่าจะเป็นที่ตั้งตารอของผู้บริหารแบรนด์หลายคน เพราะสิ่งที่ “Ideal” ที่สุดสำหรับแบรนด์ ก็คือการมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ทุกการดำเนินงานที่ทำมานั้น สร้าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้” ให้กับแบรนด์เป็นมูลค่าเงินได้มากแค่ไหน

ในต่างประเทศ หน่วยงานระดับสากลหลายแห่งได้พัฒนาสูตรและวิธีการประเมินมูลค่าแบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศผลการประเมินในทุกปี แต่แบรนด์ที่ปรากฏในลิสต์เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงเป็น Global Brand เท่านั้น และแม้จะมีการคำนวณอย่างเป็นระบบ แต่รายละเอียดของสูตรกลับไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน ทำให้แบรนด์ไทยต้องมองตาปริบ ๆ เพราะไม่สามารถนำมาใช้ประเมินมูลค่าแบรนด์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่

ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้พัฒนา CBS Valuation ในนามของ Chula Business School โดยจัดทำสูตรการประเมิน คำนวณ และประกาศมูลค่าของแบรนด์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายผลไปยังแบรนด์ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของวงการวิชาการไทย ที่พัฒนาองค์ความรู้ให้แบรนด์ไทยได้ใช้เครื่องมือที่จับต้องได้จริง

รูปภาพอ้างอิงจาก:

ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024, เผยแพร่ผ่านเพจ Brand Buffet
เข้าถึงได้จาก: https://www.facebook.com/share/p/1B5Hertjfp/

ผู้บริหารแบรนด์สามารถติดตามข้อมูลชุดนี้ได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เผยแพร่จะครอบคลุมเฉพาะกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว

และในปัจจุบันนี้ ยังมี สูตรการประเมินมูลค่าแบรนด์รุ่นใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2023 และต่อเนื่องมาถึงปี 2024 ได้แก่ BFV Model (Brand Future Valuation Model) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มบริษัท บารามีซี่ กรุ๊ป ร่วมกับ รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์

โดยสูตรนี้เริ่มต้นจากการประเมินมูลค่าแบรนด์ใน อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นแบบ แต่ในรอบปี 2024 ทีมวิจัยได้ขยายการประเมินไปยังแบรนด์ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส, ร้านคาเฟ่, อาหารกระป๋อง ฯลฯ รวมแล้วมากกว่า 10 แบรนด์

THE MOST BRAND FUTURE VALUATION 2024

รูปภาพอ้างอิงจาก:

BIBF – Bangkok International Branding Festival (2024), เผยแพร่ผ่านเพจ Baramizi Consultant
เข้าถึงได้จาก: https://www.facebook.com/share/p/15i6tkNS69/

จากผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เห็นว่าสูตรนี้สามารถใช้งานได้จริง และได้รับการยอมรับจากผู้บริหารและนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยความโดดเด่นของ BFV Model มีอยู่ 3 ประการหลัก คือ:

  1. เป็นสูตรที่ใช้การผสมผสานน้ำหนักของตัวเลขทางการเงิน (รายได้) และมุมมองจากผู้บริโภคที่ได้จากการสำรวจเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถถอดรหัสการดำเนินงานที่ควรพัฒนาเพื่อนำไปสู่โอกาสการเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
  2. เป็นสูตรที่ให้ค่ากับมูลค่าแบรนด์ที่จะเติบโตสู่อนาคต (ตามชื่อของ Brand Future Valuation) ไม่ใช่เพียงวัดค่าผลการดำเนินงานในอดีตเท่านั้น
  3. เป็นสูตรคำนวณที่ครอบคลุมคุณสมบัติของ “แบรนด์ที่ดี” อย่างครบถ้วน ได้แก้ แบรนด์ที่ดีจะขายของ ได้มากขึ้น, แบรนด์ที่ดีจะขายของได้แพงขึ้น และแบรนด์ที่ดีจะมีต้นทุนในการระดมทุนที่ถูกลง 

Brand Future Valuation Formula สูตรการคำนวณมูลค่าแบรนด์แห่งอนาคตโดย

รูปภาพอ้างอิงจาก:

Baramizi Consultant. (2024). Thailand Brand Superfans 2024 Insight Report, เผยแพร่โดย Baramizi Consultant
เข้าถึงได้จาก: https://www.baramizi-consultant.com/report

ทำให้สามารถได้รับการยอมรับและให้มุมมองการพัฒนาธุรกิจสำหรับผู้บริหารได้เป็นอย่างดีค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็คือภาพรวมของวงการการประเมินตัวชี้วัดการสร้างแบรนด์ หรือ “การตรวจสุขภาพแบรนด์” ที่เรานำมาอัปเดตกันในครั้งนี้ค่ะ เป็นชุดความรู้สำหรับผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ให้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางธุรกิจ” อย่างแท้จริง

ติดตามคอลัมน์ Future Brand Monitoring กันต่อเนื่องนะคะ รอดูกันซักนิดนึงว่าครั้งต่อไปเราจะเอาองค์ความรู้ส่วนไหนมาเจาะลึกกันเพิ่มเติมดี แล้วพบกันค่ะ

บทความโดย : ปรมา ทิพย์ธนทรัพย์ (Baramizi Lab Director)


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

RECOMMEND

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
read more
05.12.2025 55

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)​ บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า 1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตั […]

NEO Luxury Trend
read more
02.12.2025 89

NEO Luxury Trend
ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
แต่คือประสบการณ์

ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่ “ของ” แต่คือ “ประสบการณ์ คุณค่า และความหมาย” โลกของ Luxury กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 ไม่ได้ถูกนิยามด้วยโลโก้หรือสัญลักษณ์สถานะอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความ เข้าใจตัวตน คุณค่าชีวิต และความตั้งใจในการเลือกบริโภค (Intentional Consumption) มากกว่าที่เคย ผู้บริโภคกลุ่ม Luxury โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ไม่ได้มองความหรูในฐานะการแสดงความมั่งคั่ง แต่มองว่า Luxury คือ “คุณภาพของชีวิต” และ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ที่พวกเขาเลือกลงทุนอย่างตั้งใจ ทำให้เกิดแนวคิด NEO Luxury – New Luxury Paradigm ที่ผสมผสานความยั่งยืน เทคโนโลยี ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และหัตถศิลป์เข้าด้วยกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 หลักการสำคัญที่กำลังกำหนดความหมายใหม่ของ Luxury ในปี 2025 1. Quiet Luxury: ความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ซ่อนความเข้าใจลึกซึ้งในคุณภาพ Quiet Luxury กลายเป็นตัวแทนของความหรูยุคนี้อย่างแท้จริง เพราะผู้บริโภคไม่ได้ต้องการประกาศความร่ำรวย แต่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน และบ่งบอกตัวตนกับคนที่ “เข้าใจจริง” ลักษณะเด่นของ Quiet Luxury คุณภาพเหนือปริมาณ: เลือกสินค้าชิ้นสำคัญแทนกา […]

read more
19.11.2025 712

ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่

สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์ ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience) Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว […]

read more
21.11.2025 600

7 Key Economic Trends จาก The Standard Economic Forum 2025

งาน The Standard Economic Forum 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ในธีม “Thailand’s Next Frontier” รวบรวมผู้นำระดับโลก นักเศรษฐศาสตร์ และผู้กำหนดนโยบายกว่า 100 คน เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ภายในงานมีการเน้น 3 ความท้าทายหลัก (3D Challenges) ก่อนเข้าสู่เทรนด์เฉพาะทาง ได้แก่ 3D Challenges ก่อนที่จะเจาะลึกในเทรนด์เฉพาะ มาทำความเข้าใจภาพรวมที่กว้างขึ้นก่อน ผู้นำธุรกิจไทยได้ระบุถึง “3 ความท้าทาย Digitalization (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล) เทคโนโลยีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นรากฐานของการแข่งขัน เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนคิดเป็น 15.5% ของ GDP โลกแล้ว โดย 70% ของมูลค่าใหม่ทั่วโลกคาดว่าจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในทศวรรษหน้า Deglobalization (การทวนกระแสโลกาภิวัตน์)  โลกกำลังแตกออกเป็นส่วนๆ จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ จีน และพันธมิตร ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเองใน “จุดยืนที่เป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Neutral Position) และ “ผู้สร้างสมดุลอย่างสร้างสรรค์” (Creative Balancer) เพื่อใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ […]

read more
03.11.2025 626

“Gartner” เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมธุรกิจปี 2569

ในปี 2569 จะเป็นปีที่สำคัญต่อผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก นวัตกรรม ไปจนถึงความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เทรนด์เทคโนโลยีทั้งหมดในปีหน้าจะเชื่อมโยงกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven world) และเชื่อมต่อกัน ตลอดเวลา ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศ และสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลไปพร้อมกัน ผู้นำองค์กรต้องเผชิญกับ การหยุดชะงัก (Disruption) นวัตกรรม และความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็ว 10 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญแห่งปี 2569 1. AI Supercomputing Platforms  AI Supercomputing Platforms (แพลตฟอร์ม AI ซูเปอร์คอมพิวติ้ง) เป็นการรวมพลังของ CPU, GPU, ชิป AI ASICs และการประมวลผลแบบนิวโรมอร์ฟิก (จำลองสมองมนุษย์) ช่วยให้องค์กรจัดการงานที่ซับซ้อนมหาศาล ปลดล็อกประสิทธิภาพและนวัตกรรม ต้องอาศัย Orchestration Software เพื่อจัดการเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 องค์กรชั้นนำ 40% จะใช้สถาปัตยกรรม Hybrid Computing (เพิ่มจาก 8% ในปัจจุบัน) ตัวอย่างการใช้งาน: คิดค้นยาใหม่ในไม่กี่สัปดาห์ (แทนที่จะใช้เวลาหลายป […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง