Classic or Create Christmas Tree เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส
เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส
แม้เทศกาลคริสต์มาสจะไม่ได้มีต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมและอิทธิพลของเทศกาลได้แพร่กระจายไปแทบทุกมุมโลก “บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง” กลายเป็นกลิ่นอายที่พบได้ทั้งในเมืองใหญ่ ห้างสรรพสินค้า พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงพื้นที่ส่วนตัวอย่างบ้านและคอนโด ในบริบทของการออกแบบและตกแต่งที่อยู่อาศัย “ต้นคริสต์มาส” (หรือก็คือต้นส้น) ทำหน้าที่เป็น “พระเอก” ของงานนี้มาอย่างยาวนาน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงเทศกาลได้ทันที
อย่างไรก็ตาม หากมองต้นคริสต์มาสในฐานะ “องค์ประกอบการออกแบบ” มากกว่าของประดับตามฤดูกาล คำถามสำคัญคือที่ผ่านมา และในอนาคต อะไรบ้างที่จะเข้ามากำหนดหน้าตาและบทบาทของมัน? แน่นอนว่าเรามักบอกว่าเลือกเพราะ “ความสวยงาม” แต่ความจริงแล้ว การเลือกนั้นมีระบบเศรษฐกิจ สภาพสังคม และค่านิยมร่วมสมัยซ่อนอยู่เสมอ ตั้งแต่รูปแบบการอยู่อาศัยในเมือง ความคุ้มค่าและต้นทุนที่ผันผวน ตามข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณการค้าระหว่างประเทศโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการนำเข้าและส่งออกที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวันหยุด ไปจนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และความหมายเชิงตัวตนมากขึ้นเรื่อยๆ การเลือกต้นคริสต์มาสจึงเริ่มมี “เหตุผลเชิงระบบ” มากกว่าการเป็นเพียงเเค่การทำตามๆ กันไป
100 ปี บันทึกประวัติศาสตร์การตกแต่งบ้านช่วงคริสต์มาส
ข้อมูลจาก นิตยสาร Better Homes & Gardens ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1922 ได้มีการพูดถึงการตกแต่งต้นคริสต์มาสมีการพัฒนาอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โดยได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
- 1920s ต้นยุคการไฟฟ้าตามบ้านเรือน: ก่อนทศวรรษ 1920 ไฟฟ้ายังไม่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ และไฟประดับยุคแรกมีราคาสูง พอวิทยาการไฟฟ้าเริ่มก้าวหน้า เริ่มมีชุดไฟประดับเชิงพาณิชย์ แสงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “บ้านยุคใหม่” ที่ปลอดภัยกว่าเดิม
- 1930s-1940s เศรษฐกิจตกต่ำ สงครามและการขาดแคลน: เกิดการสร้างของตกเเต่งและต้นคริสต์มาสจากของเหลือใช้ และการน้ำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดเริ่มต้นของต้นคริสต์มาสเทียมที่นิยมในปัจจุบันมากขึ้น
- 1950s ยุคหลังสงคราม ก่อร่างครอบครัว และการเข้ามาของวัสดุใหม่ๆ: การออกแบบภายในมุ่งเน้นให้บ้านมีความสดในขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งวัสดุมันวาวต่างๆ มีส่วนสำคัญกับการออกแบบมากขึ้น
- 1960-1990 ต้นคริสต์มาสกลายเป็น “สไตล์แต่ละบุคคล”: ต้นคริสต์มาสค่อยๆ กลายเป็นตัวบอกสไตล์บ้าน จากยุคที่คนสั่งทำตามความชอบ ไปสู่ความธรรมชาติและงานคราฟต์ แล้วพัฒนาเป็นการคุมโทนจัดฉากแบบจริงจัง
- 2000s: ยุคอินเทอร์เน็ต, How-to culture และความเรียบง่าย: คนเริ่มเสพ “คู่มือ” และไอเดียออนไลน์ การตกแต่งต้นคริสต์มาสถูกทำให้เป็นระบบ ต้นคริสต์มาสกลายเป็นงาน “จัดองค์ประกอบ” มากขึ้น และทำซ้ำได้ทุกปีแบบเป็นขั้นตอน
- 2010s ยุคโซเชียลมีเดีย: บ้านถูกออกแบบให้ถ่ายรูปได้ ต้นคริสต์มาสกลายฉากหลังและออกแบบการจัดวาง
- 2020s-2025 Maximalism vs Minimal: หลังการสิ้นสุดการระบาดครั้งใหญ่ของ Covid 19 ความเศร้าหมองเริ่มคลี่คลายลง และการใช้เวลาในบ้านนานมากขึ้นทำให้เกิดการใช้งานเละออกแบบพื้นที่มากขึ้น ผู้คนเลือกที่จะจัดบ้าน เเต่สไตล์กลับแตกต่างกัน มีบางกลุ่มที่ต้องการความรื่นเริ่งโอ่อ่าเพื่อลบความเศร้าหมอง แต่ก็มีบางกลุ่มที่ต้องการความเรียบง่าย
จากแนวโน้มทั้งหมดส่งผลให้ปัจจุบันการตกเเต่งต้นคริสต์มาสมีหน้าตาเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ
ฝั่ง A: Classic “ต้นคริสต์มาสยังคงเป็นหัวใจ ตัวเเทนความอบอุ่นของเทศกาล”
ถ้าคุณอยู่ทีม Classic คุณเชื่อว่าต้นคริสต์มาสควรเป็นหัวใจของงานเทศกาล ในยุคที่ความเบื่อหน่ายสังคมเร่งรีบ ผู้คนโหยหาอดีตเเละให้ค่ากับความสัมพันธ์รอบตัวมากขึ้น การตกเเต่งแบบตามธรรมเนียมกลายเป็นเครื่องสะท้อนความงดงามของช่วงเวลาในอดีต
เทรนด์ปี 2025 ของฝั่ง Classic:
- Interior Styling เต็มรูปแบบ: ไม่ใช่แค่การวางต้นไม้เพียงต้นเดียว แต่เป็นการทำ “Zoning” ในบ้าน เช่น เทรนด์ Multiple Trees (หนึ่งห้องหนึ่งอารมณ์) เพื่อสร้างบรรยากาศที่หลากหลาย (ข้อมูลจาก The American Christmas Tree Association)
- Texture & Light: เน้นความสมจริงของกิ่งก้าน และการใช้ไฟสไตล์วินเทจ (Vintage-style lights) ที่ให้แสงนุ่มนวลกว่าไฟสีขาวโพลนแบบเดิม (Better Homes & Gardens)
ในสหรัฐฯ ธุรกิจต้นสนจริงมียอดขายสูงถึง 25–30 ล้านต้นต่อปี สร้างมูลค่าอุตสาหกรรมกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม กำไรไม่ได้ไหลกลับไปหาเกษตรกรมากอย่างที่คิด ต้นขนาด 6-7 ฟุตมีราคาส่งเฉลี่ยเพียง 35 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อหักต้นทุนการปลูกที่ยาวนาน กำไรจะเหลือเพียง 25–30% (ประมาณ 8–10 ดอลลาร์สหรัฐต่อต้น) ในขณะที่ฝั่งค้าปลีกมักจะบวกราคากว่า 100% เพื่อครอบคลุมค่าขนส่งและแรงงาน นี่คือช่องว่างที่ชัดเจน ผู้บริโภคอยากได้ความคลาสสิกแต่ไม่อยากแบกภาระ ผู้คนเลยเริ่มเลือกการเช่าเพื่อคุมงบและความยุ่งยากแทน ตัวอย่างบริการเช่าที่เห็นชัดคือการเช่า “ต้นจริงแบบกระถาง” ที่เช่าไปตั้งช่วงเทศกาลแล้วร้านมารับคืนไปดูแลต่อ เช่น Green Elf Trees ที่ขายบริการเช่าต้นกระถางไซซ์ 5–7 ฟุต และ Lanjeth Nursery ที่ทำบริการเช่าต้นกระถางพร้อมส่ง-รับคืน และยังสื่อสารเรื่องความยั่งยืน เช่น การดูดซับคาร์บอน
ฝั่ง B: Create “ไม่ว่าอะไรก็เป็นตัวเเทนต้นคริสต์มาสได้”
ฝั่ง Create คือกลุ่มคนที่อยู่กับความเป็นจริงของวิถีชีวิตคนเมืองที่พื้นที่จำกัด และความจำเจของรูปแบบการจัดงานที่ซ้ำเดิมทุกปี
นิยามใหม่ของต้นคริสต์มาส ต้นไม้ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นไม้เสมอไป แต่อาจเป็น Wall Tree จากไฟเส้น, งาน Installation บนชั้นวางของ, Ladder Tree หรือการใช้พื้นที่แทรกตามโถงทางเดินและใต้บันได ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อีกหนึ่งเเนวโน้มคือ Minimalism & Biophilic: ตามรายงานของ Architectural Digest แนวคิด “Ornament-free Elegance” หรือความงามที่แทบไม่ต้องแขวนของตกแต่งกำลังมาแรง โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้แห้ง หรือ ลูกสน เพื่อให้บ้านรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ
สิ่งที่ขับเคลื่อนฝั่ง Create ไม่ได้มีแค่เรื่องดีไซน์ แต่คือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ บทความจาก Econlife ระบุว่ากำแพงภาษี (Tariffs) อาจทำให้ราคาต้นไม้ปลอมพุ่งสูงขึ้นราว 20% และหมวด Holiday Lighting อาจเจอภาษีในระดับสูง (เช่น 63% เพิ่มเติมจากภาษีเดิม 33%) เมื่อราคาของสำเร็จรูปไม่นิ่ง ผู้บริโภคจะหันไปหาการ DIY หรือการใช้ของที่มีอยู่เดิม ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของกลุ่ม Alternative อยู่แล้ว ในฝั่งห้างร้านและพื้นที่สาธารณะเริ่มทำ “ต้นคริสต์มาสแบบยั่งยืน” มากขึ้น โดยเปลี่ยนจากการก่อสร้างใหม่ทุกเทศกาล ไปเป็นการออกแบบให้ ใช้ซ้ำและเปลี่ยนธีมได้ (Reuse / Re-theme / Modular)
ทั้งสองฝั่งมีจุดเด่นที่ต่างกัน แล้วตัวคุณจะเลือกแบบไหน ระหว่าง “อบอุ่นแบบ Classic” หรือ “Create อะไรใหม่ๆ”
บทความโดย : กัณฑ์ฉัตร สมเหมาะ (Future Trend Researcher)
ที่มา:
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง






