ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่
สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์
ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง
กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience)
Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว การออกแบบประสบการณ์ที่ “ตัดสิ่งเร้า” จึงปรากฏขึ้นในฐานะทางเลือกใหม่ที่ต่างไปจากกิจกรรมรูปแบบเดิม
ภายใต้กรอบคิดนี้ Dark Experience สามารแตกออกเป็นสามแนวโน้มสำคัญ ได้แก่ การใช้งานความมืดในบรรยายกาศ (Dark Scape), การบำบัดสุขภาพด้วยความมืดมิด Dark Retreats และ การสื่อสารให้เข้าใจในด้านมืดของอดีต (Dark Witness)
การจัดการและออกแบบบรรยากาศยามค่ำคืน ใช้ความมืดเป็นทรัพยากรด้านสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ (Dark Scape)
เราเริ่มเห็นตัวอย่างการที่ตั้งใจควบคุมมลภาวะทางแสง เพื่อคืนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวให้ผู้คน กรณีของสวนสัตว์ ARTIS ในอัมสเตอร์ดัม เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ความมืดเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและประสบการณ์ผู้เข้าชม ผลที่เกิดขึ้นคือ ในภาพถ่ายดาวเทียมยามค่ำคืน เมืองอัมสเตอร์ดัมแทบทั้งเมืองเป็นพื้นผิวเรืองแสง มีเพียง “จุดมืด” ชัดเจนเพียงจุดเดียว นั่นคือพื้นที่ของ ARTIS ที่เป็นโซนมืดขนาดใหญ่ท่ามกลางความสว่างของเมือง ทั้งยังได้รับการรับรองเป็น Dark Sky แห่งแรกในเมืองหลวงของยุโรป
เมื่อมองในระดับโลก ตัวเลขจาก DarkSky International ชี้ว่า 80% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ใต้ท้องฟ้าที่ถูกแสงเมืองรบกวน และในยุโรปกับสหรัฐฯ มีผู้คนเพียงส่วนน้อยมากที่สามารถเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าได้จริงๆ การออกแบบ Dark Space เช่น ARTIS หรือโปรแกรมชมดาวในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite Conservancy)
การบำบัดและฟื้นฟูสุขภาวะกายและใจผ่านประสบการณ์อยู่กับความมืดมิดอย่างมีโครงสร้าง (Dark Retreats)
มีการอธิบาย Dark Retreat ว่าเป็นประสบการณ์ของการปลีกวิเวกอย่างเข้มข้น ผู้เข้าร่วมจะอยู่ในห้องที่ไร้แสงเกือบสมบูรณ์ ไม่มีหน้าจอ ไม่มีสิ่งเบี่ยงเบนสายตา เหลือเพียงตัวเองกับความคิด ความกลัว และความรู้สึกที่เคยถูกกลบด้วยความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน Dark Retreats คือการใช้ความมืดเป็นเครื่องมือเยียวยาและสำรวจจิตใจอย่างลึก เมื่อเทียบกับบริบทของโลก ตัวเลขจาก WHO ที่บอกว่า ราว 1,000 ล้านคน หรือ 1 ใน 8 ของประชากรโลก อยู่กับปัญหาสุขภาพจิตบางรูปแบบ และโรคซึมเศร้ากับวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในช่วงโควิด-19 เพราะการเอาใจใส่เรื่องภายในของตนเองมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ประกอบกับการเกิดการแพทย์ทางเลือกที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
การสื่อสารและทำความเข้าใจด้านมืดของอดีต ผ่านประสบการณ์เรียนรู้ในพื้นที่จริงอย่างมีจริยธรรม (Dark Witness)
Dark Witness คือการใช้พื้นที่และเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับความตาย สงคราม และหายนะ เป็นสถานที่เรียนรู้ เพราะผู้คนเริ่มแสวงหา “ความจริงที่ไม่ผ่านการปกปิด”, การเป็น “พยานร่วม” (witness) ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับความยุติธรรมบางอย่าง มิติสุดท้ายของ Dark Experience เกิดขึ้นใน “พื้นที่ประวัติศาสตร์” ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความตาย สงคราม และหายนะ สิ่งนี้ถูกพูดถึงในชื่อ Dark Tourism หรือ Dark Travel การเดินทางไปยังสถานที่อย่างป่า Aokigahara ในญี่ปุ่น, ค่าย Auschwitz ในโปแลนด์ หรือทุ่งสังหารในกัมพูชา ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความบันเทิง หากเพื่อมองความจริงด้านที่ยากของมนุษย์ให้ชัดขึ้น นักวิชาการบางคนอธิบายว่าความน่าสนใจของ Dark Travel คือการให้ “มุมมอง” มากกว่าความตื่นเต้น ผู้คนใช้การเดินทางไปยังพื้นที่เจ็บปวดเหล่านี้เป็นวิธีหนึ่งในการเตรียมใจ อยู่กับความคิดเรื่องความตาย ความเปราะบาง และความไม่แน่นอนของชีวิตโดยไม่หนีหน้ามันอีกต่อไป
การประยุกต์ใช้ความมืดเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์และฐานในการออกแบบประสบการณ์ของแบรนด์ (Dark Experience)
จะเห็นว่า Dark Experience ไม่ได้เป็นแนวคิดลอย ๆ แต่เชื่อมกับปัญหาและแนวโน้มระดับโลกโดยตรง ธุรกิจสามารถนำหลักคิดนี้ไปประยุกต์ได้หลายแบบ คือการมองความมืดในฐานะ “ทรัพยากรที่ถูกละเลย” (Underutilized Resource) ที่สามารถแปลงกลับมาเป็นทั้งคุณค่าทางสังคม สิ่งแวดล้อม และมูลค่าทางธุรกิจได้พร้อมกัน ในทุกกรณี การนำ Dark Experience เข้ามาในธุรกิจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่เสมอไป การทดลองในระดับต้นแบบ เช่น การจัด Dark Night เดือนละครั้งในโรงแรม การทำ Dark Session สั้น ๆ ในงานสัมมนาองค์กร หรือการทดลอง Night Walk เชิงประวัติศาสตร์ในย่านเก่า สามารถใช้เป็นห้องทดลองเพื่อเก็บข้อมูลจริง ทั้งเรื่องการตอบรับของลูกค้า ระดับราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ และผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ ก่อนขยายหรือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบ
เมื่อมองในเชิงการออกแบบประสบการณ์ Dark Experience ที่ดีจะมีองค์ประกอบร่วมกันคือ เข้าใจ pain point ของผู้ใช้บริการชัด มีจังหวะที่ใช้งานความมืดอย่างระมัดระวัง ใช้ความมืดเพื่อโฟกัส ไม่ใช่เพื่อทำให้ไม่สบายใจโดยไม่จำเป็น และมีวิธีวัดผลทั้งด้านประสบการณ์ (เช่น ความพึงพอใจ การเล่าต่อ) และด้านธุรกิจ เมื่อนำทั้งมุมกลยุทธ์ มุมการออกแบบ และมุมตัวเลขมาประกอบกัน ความมืดใน Dark Experience จะกลายเป็น “สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์” ที่มีทั้งมิติทางจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นเพียงบรรยากาศแปลกใหม่ในชั่วครั้งชั่วคราว
ที่มา:
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง






