Baramizi Lab logo

‘ปักหมุด’ อนาคตของธุรกิจ ผ่านแว่น IKEA และ Shell

การคาดการณ์อนาคตธุรกิจด้วย Strategic Foresight: กรณีศึกษา IKEA และ Shell

‘ปักหมุด’ อนาคตของธุรกิจ ผ่านแว่น IKEA และ Shell

มองอนาคต 3 รูปแบบ: อนาคตที่น่าจะเป็น อนาคตเป็นไปได้ และ อนาคตที่อยากให้เป็น ผ่าน 2 กรณีศึกษา

บริษัทชั้นนำต่างๆ ในโลกธุรกิจไม่ได้เพียงสร้างผลกำไรในปัจจุบัน แต่กำลัง “ลงทุน” ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การลงทุนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขทางการเงิน แต่คือการทุ่มเททรัพยากร ทั้งเวลา, บุคลากร, และการวิจัย เพื่อทำความเข้าใจ และสร้างธุรกิจให้พร้อมในวันข้างหน้า

เครื่องมือสำคัญที่บริษัทเหล่านี้ใช้คือ “การคาดการณ์อนาคตเชิงกลยุทธ์” (Strategic Foresight) และเครื่องมือในการใช้งานก็คือ “The Futures Cone” (กรวยแห่งอนาคต) ซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพอนาคตที่หลากหลาย ตั้งแต่ อนาคตที่น่าจะเกิดขึ้น (Probable), อนาคตที่เป็นไปได้ (Plausible), ไปจนถึงการเลือกสร้างอนาคตที่อยากให้เป็น (Preferable)

แม้จะดูคล้ายการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ทำหน้าที่ ป้องกัน (Defensive) มูลค่าของธุรกิจในปัจจุบันจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น หรือการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งเป็นการ ต่อยอด (Incremental) สร้างมูลค่าใหม่โดยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่อยู่ใกล้เคียงกับธุรกิจหลัก แต่ “การลงทุนในอนาคต” จะเป็น พลิกโฉม (Transformative) เพื่อสร้าง “โมเดลธุรกิจ” และ “แหล่งรายได้” ใหม่ทั้งหมด ที่อาจไม่เหมือนธุรกิจเดิมเลย

เรามาลองถอดรหัสกลยุทธ์การลงทุนในอนาคตของสองยักษ์ใหญ่ต่างอุตสาหกรรมอย่าง Shell และ IKEA ว่าทั้งสองลงทุนในอนาคตอย่างไร

Case Study 1: Shell: แนวทางแห่งการปรับตัว

ธุรกิจหลักของ Shell คือพลังงานฟอสซิล ซึ่งกำลังเผชิญกับ อนาคตที่น่าจะเกิดขึ้น (Probable Future) ของการลดความสำคัญลงอย่างต่อเนื่อง แต่ “เส้นทาง” และ “ความเร็ว” ของการเปลี่ยนแปลงนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

กลยุทธ์ Scenario Planning ของ Shell ไม่ใช่แค่การบริหารความเสี่ยง แต่เป็นการใช้ Foresight เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ระยะยาว แนวทางไม่ได้แค่ถามว่า “ราคาน้ำมันจะตกหรือไม่?” หรือ “จะขุดเจาะอย่างไรให้มีประสิทธิภาพขึ้น?” แต่ถามว่า “ในโลกอนาคตที่อาจไม่มีน้ำมันเป็นพลังงานหลัก เราจะยังคงเป็นบริษัทพลังงานที่สำคัญได้อย่างไร?” 

การคาดการณ์อนาคตเชิงกลยุทธ์ที่ใช้

  • สำรวจอนาคตที่เป็นไปได้ (Plausible Futures): แทนที่จะพยายามทายอนาคตที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว Shell ใช้วิธี “การวางแผนตามสถานการณ์จำลอง” (Scenario Planning) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำรวจ “อนาคตที่เป็นไปได้” (Plausible Cone) ที่หลากหลาย พวกเขาสร้าง “เรื่องราวของอนาคต” ที่แตกต่างหลายรูปแบบเช่น 
    • Waves: โลกมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก จนปัญหาสิ่งแวดล้อมวิกฤตและถูกกดดันให้ต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วในภายหลัง ส่งผลให้ลดคาร์บอนได้สำเร็จแต่ไม่ทันเป้าหมาย 1.5°C (ลดคาร์บอนช้าแต่เร็ว)
    • Islands: โลกให้ความสำคัญกับความมั่นคงของแต่ละชาติ ทำให้ความร่วมมือระหว่างประเทศลดลง แต่การแข่งขันกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม สุดท้ายลดคาร์บอนได้ แต่เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่ทันเป้าหมาย (ลดคาร์บอนช้าและค่อยเป็นค่อยไป)
    • Sky 1.5: โลกตั้งเป้าหมาย 1.5°C เป็นตัวตั้ง แล้วทำงานย้อนกลับ โดยทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเต็มที่โดยเน้นเรื่องสุขภาพและคุณภาพชีวิต ทำให้ลดคาร์บอนได้สำเร็จตามเป้าหมาย (ลดคาร์บอนแบบเร่งด่วน)

กลยุทธ์ของ Shell คือการลงทุนโดยมองภาพกว้างของ “อนาคตที่เป็นไปได้” ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรจะ แข็งแกร่ง และปรับตัวได้เสมอ นี่คือการลงทุนเพื่อ “ป้องกันความเสี่ยง” จากอนาคตที่คาดเดาไม่ได้

Case Study 2: IKEA – การลงทุนเพื่อ “สร้าง” ตลาดแห่งอนาคต

สำหรับ IKEA การลงทุนในอนาคตคือ “การออกแบบตลาดที่พวกเขาจะเป็นผู้นำ”

ธุรกิจของ IKEA มี อนาคตที่น่าจะเกิดขึ้น คือการขายเฟอร์นิเจอร์สไตล์เดิมๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ขยายตัวขึ้น ซึ่งเป็นทางที่ปลอดภัย แต่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำให้ IKEA เลือกที่จะ “ลงทุน” ในการสร้างอนาคตที่แตกต่างออกไป คือการสร้าง ห้องปฏิบัติการ SPACE10 ที่ไม่ใช่แผนก R&D ทั่วไป แต่กำลังตั้งคำถามว่า “ในอนาคตที่ผู้คนไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านหรือเฟอร์นิเจอร์อีกต่อไป IKEA จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?” การสำรวจโมเดลธุรกิจแบบ Subscription หรือการใช้ AI ออกแบบ คือการทำงานในพื้นที่  อนาคตที่เป็นไปได้ และ อนาคตที่อยากให้เป็น เพื่อสร้างตลาดใหม่ที่ตัวเองจะเป็นผู้นำ

การคาดการณ์อนาคตเชิงกลยุทธ์ที่ใช้

  • สร้างอนาคตที่อยากให้เป็น  (Preferable Future): ผ่านห้องปฏิบัติการวิจัยและออกแบบอนาคตอย่าง SPACE10 ที่ได้สำรวจ “อนาคตที่เป็นไปได้” (Plausible) ของการใช้ชีวิต และเลือกสร้างต้นแบบของ อนาคตที่อยากให้เป็น ขึ้นมาจริงๆ เช่น:
    • โครงการ Urban Farming: สำรวจว่าเราจะปลูกอาหารในเมืองที่บ้านได้อย่างไร
    • โครงการ Circular Furniture: คิดค้นโมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิก (Subscription) หรือการนำเฟอร์นิเจอร์เก่ามาหมุนเวียนใช้ใหม่
    • โครงการ Co-living: ออกแบบพื้นที่และเฟอร์นิเจอร์สำหรับการอยู่อาศัยร่วมกัน
  • การลงทุนเพื่อสร้างดีมานด์ (Investing to Create Demand): โครงการเหล่านี้คือการลงทุนด้าน R&D ที่จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการของ IKEA ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน การเผยแพร่งานวิจัยและต้นแบบเหล่านี้สู่สาธารณะ ก็เป็นการ “สอน” และ “สร้างแรงบันดาลใจ” ให้ผู้คนเห็นภาพว่า “บ้านที่ดีในอนาคต” ควรเป็นอย่างไร ซึ่งก็คือการสร้างดีมานด์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่พวกเขากำลังพัฒนานั่นเอง

กลยุทธ์ของ IKEA คือการลงทุนโดยการสร้างพิมพ์เขียวของ “อนาคตที่อยากให้เป็น” ขึ้นมา เป็นการลงทุนเพื่อ “สร้างตลาด” ของตัวเอง

การลงทุนในอนาคตอาจฟังดูเป็นการเพิ่มงาน เพิ่มงบ เเต่บริษัทเล็กสามารถลงทุนในอนาคตได้โดยไม่ต้องใช้งบมหาศาล โดยเปลี่ยนจากการวิจัยใหญ่ๆ มาเป็นการพูดคุยกับลูกค้าโดยตรงเพื่อหาความต้องการที่แท้จริง, สร้างสถานการณ์จำลอง ในตลาดของตนเองเพื่อเตรียมพร้อม, และทำการทดลองเล็กๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อเรียนรู้ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองสามารถเป็นผู้นำเทรนด์ และเห็นประตูแห่งโอกาสก่อนคู่แข่ง

บทความโดย : กัณฑ์ฉัตร สมเหมาะ (Future Trend Researcher)

ที่มา


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

RECOMMEND

สรุป Pinterest Predicts 2026
read more
19.12.2025 16

เจาะลึก Pinterest Predicts 2026: ถอดรหัส 4 กลยุทธ์ธุรกิจ เปลี่ยน “เทรนด์” ให้เป็น “ยอดขาย”

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว การรู้เทรนด์ก่อนคู่แข่งเพียงก้าวเดียว อาจหมายถึงส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล ล่าสุด Pinterest แพลตฟอร์มที่เปรียบเสมือน “ลูกแก้วพยากรณ์” ของโลกการตลาด ได้ปล่อยรายงาน Pinterest Predicts สำหรับปี 2026 ออกมาแล้ว ความน่าสนใจของรายงานนี้คือ Pinterest ไม่ได้วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่วิเคราะห์จาก “Search Intent” (เจตนาการค้นหา) ของผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการซื้อที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เราพบว่าปี 2026 จะไม่ใช่ปีแห่งความ “เรียบง่าย” หรือ “มินิมอล” อีกต่อไป แต่มันคือปีแห่งการแสดงออก (Expression), สัมผัส (Sensory), และการผสมผสาน (Hybrid) นี่คือ 4 กลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เราถอดรหัสมาจากเทรนด์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดนำไปปรับทิศทางแบรนด์ได้ทันที กลยุทธ์ที่ 1: Sensory Marketing – เอาชนะใจด้วย “ผิวสัมผัส” และ “สีสัน” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับความงามแบบ “Clean Girl Aesthetic” และงานดีไซน์แบบ “Flat Design […]

read more
18.12.2025 187

Classic or Create Christmas Tree เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส

เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส แม้เทศกาลคริสต์มาสจะไม่ได้มีต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมและอิทธิพลของเทศกาลได้แพร่กระจายไปแทบทุกมุมโลก “บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง” กลายเป็นกลิ่นอายที่พบได้ทั้งในเมืองใหญ่ ห้างสรรพสินค้า พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงพื้นที่ส่วนตัวอย่างบ้านและคอนโด ในบริบทของการออกแบบและตกแต่งที่อยู่อาศัย “ต้นคริสต์มาส” (หรือก็คือต้นส้น) ทำหน้าที่เป็น “พระเอก” ของงานนี้มาอย่างยาวนาน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงเทศกาลได้ทันที อย่างไรก็ตาม หากมองต้นคริสต์มาสในฐานะ “องค์ประกอบการออกแบบ” มากกว่าของประดับตามฤดูกาล คำถามสำคัญคือที่ผ่านมา และในอนาคต อะไรบ้างที่จะเข้ามากำหนดหน้าตาและบทบาทของมัน? แน่นอนว่าเรามักบอกว่าเลือกเพราะ “ความสวยงาม” แต่ความจริงแล้ว การเลือกนั้นมีระบบเศรษฐกิจ สภาพสังคม และค่านิยมร่วมสมัยซ่อนอยู่เสมอ ตั้งแต่รูปแบบการอยู่อาศัยในเมือง ความคุ้มค่าและต้นทุนที่ผันผวน ตามข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณการค้าระหว่างประเทศโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีแรงขับเ […]

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
read more
05.12.2025 1,124

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)​ บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า 1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตั […]

NEO Luxury Trend
read more
02.12.2025 355

NEO Luxury Trend
ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
แต่คือประสบการณ์

ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่ “ของ” แต่คือ “ประสบการณ์ คุณค่า และความหมาย” โลกของ Luxury กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 ไม่ได้ถูกนิยามด้วยโลโก้หรือสัญลักษณ์สถานะอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความ เข้าใจตัวตน คุณค่าชีวิต และความตั้งใจในการเลือกบริโภค (Intentional Consumption) มากกว่าที่เคย ผู้บริโภคกลุ่ม Luxury โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ไม่ได้มองความหรูในฐานะการแสดงความมั่งคั่ง แต่มองว่า Luxury คือ “คุณภาพของชีวิต” และ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ที่พวกเขาเลือกลงทุนอย่างตั้งใจ ทำให้เกิดแนวคิด NEO Luxury – New Luxury Paradigm ที่ผสมผสานความยั่งยืน เทคโนโลยี ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และหัตถศิลป์เข้าด้วยกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 หลักการสำคัญที่กำลังกำหนดความหมายใหม่ของ Luxury ในปี 2025 1. Quiet Luxury: ความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ซ่อนความเข้าใจลึกซึ้งในคุณภาพ Quiet Luxury กลายเป็นตัวแทนของความหรูยุคนี้อย่างแท้จริง เพราะผู้บริโภคไม่ได้ต้องการประกาศความร่ำรวย แต่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน และบ่งบอกตัวตนกับคนที่ “เข้าใจจริง” ลักษณะเด่นของ Quiet Luxury คุณภาพเหนือปริมาณ: เลือกสินค้าชิ้นสำคัญแทนกา […]

read more
19.11.2025 771

ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่

สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์ ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience) Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง