Baramizi Lab logo

ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า “สร้างแบรนด์ได้ดี” วัดจากอะไร?

ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า “สร้างแบรนด์ได้ดี” วัดจากอะไร?

ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า “สร้างแบรนด์ได้ดี” วัดจากอะไร?

ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา Baramizi Group (ซึ่งประกอบด้วยนักสร้างแบรนด์ และนักวิจัยและพัฒนาแบรนด์) ได้ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ ในการค้นหาคำตอบของคำถามนี้ บนความเชื่อที่ว่า “การสร้างแบรนด์ต้องวัดผลได้”

ซึ่งความ ambitious ของเราคือ ไม่ใช่แค่วัดผลเป็น Index หรือเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นเพียงตัวเลขอ้างอิงเท่านั้น แต่ต้อง วัดได้เป็น “มูลค่า” ที่จับต้องได้ในเชิงตัวเงิน
เพราะเมื่อใดก็ตามที่แบรนด์สามารถแปลงค่าเป็นตัวเงินได้ ก็จะทำให้ความเชื่อที่ว่า “แบรนด์คือสินทรัพย์ทางธุรกิจ” พิสูจน์ได้และแพร่หลายได้จริง

ระหว่างการศึกษาวิจัย ก่อนที่จะไปถึงตัวเงินเหล่านั้น คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ ทั้งในเชิงวิชาการและคนทำงานจริง คือ:
“เราจะบอกได้อย่างไรว่าแบรนด์นี้สร้างได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จ”

คำตอบที่เรียบง่าย หลังจากการค้นคว้าทฤษฎีและงานวิจัยจำนวนมาก มีอยู่ 3 ประการด้วยกันค่ะ:

1. แบรนด์ที่ดีจะช่วยขายของได้มากขึ้น

แบรนด์ที่มียอดขายสูงในปัจจุบัน เป็นข้อบ่งชี้เบื้องต้นว่าแบรนด์นั้นมีความแข็งแรง โดยเฉพาะในกรณีที่แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค และ ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคาถูกเป็นหลัก
การที่ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้อแบรนด์นั้น ๆ ย่อมสะท้อนว่าแบรนด์นั้น เป็นที่รู้จัก ได้รับความเชื่อถือ และไว้วางใจ
ดังนั้นยอดขายจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินมูลค่าแบรนด์

2. แบรนด์ที่ดีจะช่วยขายของได้แพงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การมียอดขายที่มากและมีฐานลูกค้า และผู้รู้จักแบรนด์ที่กว้างขวางไม่ใช่ความสำเร็จรูปแบบเดียวของแบรนด์ยุคนี้ ผลลัพธ์ของการสร้างแบรนด์ในรูปแบบที่ 2 ที่ต้องพิจารณาร่วมกันคือ ลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อแบรนด์ได้มากกว่าย่อมหมายถึงอิทธิพลของแบรนด์ที่มีต่อการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่า การวัดอัตราการยอมจ่ายเพิ่มเพื่อแบรนด์ในงานวิจัยด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ด้วย BFV Model เราจะใช้การสำรวจมุมมองของผู้ที่ซื้อหรือสนใจจะซื้อแบรนด์ว่ายินยอมที่จะจ่ายเพิ่มเมื่อเป็นแบรนด์นี้ที่คนชื่นชอบมากน้อยเพียงใด เราเรียก Index ในข้อนี้ว่า Price Premium

และก็เช่นกันว่า กลยุทธ์ที่สร้างแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ระดับสูงที่ต้องเอื้อมนิดๆ ให้ได้มาก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีแต่ไม่ใช่กลยุทธ์เดียวที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จจึงต้องพิจารณาควบคู่กันกับข้อแรกด้วยซึ่งส่วนใหญ่มักมีโอกาสให้ผลที่สวนทางกันซึ่งก็ไม่แปลกอะไรค่ะ หากเราเป็นนักลงทุนเราก็สามารถเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับความสนใจของเราได้เลยว่าจะเน้นแบรนด์ที่ขายของได้มากหรือแบรนด์ที่ขายของได้แพง

นอกจากนี้ การขายของได้มากขึ้นยังมีอีกมิติที่ทีมวิจัยเกณฑ์คำนึงถึงด้วย คือความสามารถในการขายได้เพิ่มในอนาคต ซึ่งเกิดจากการที่แบรนด์สร้างความประทับใจ สร้างความเป็นสาวก (Brand Superfans Index) ได้เป็นอย่างดีแม้ฐานลูกค้าจะยังเล็กอยู่ในปัจจุบันก็อาจบ่งชี้ได้ว่าหากมีการขยับขยายการลงทุนและเติบโตทางช่องทางการขายได้ในอนาคตก็จะนำไปสู่การขายของได้มากตามหลักการในข้อ 1 ได้ตามมานั่นเอง ในสูตรของการประเมินมูลค่าแบรนด์แห่งอนาคตของ Baramizi Group จะให้น้ำหนักกับอัตราความแข็งแรงส่วนนี้ในการคาดการณ์โอกาสเติบโตในอนาคตด้วย

3. แบรนด์ที่ดีจะช่วยให้ต้นทุนในการได้มาซึ่งทุนสำหรับธุรกิจที่ถูกลง

ในการบริหารธุรกิจหลายครั้งผู้บริหารต้องเพิ่มทุนทั้งเพื่อใช้งานในระยะสั้น หรือเพื่อการลงทุนในระยะยาว การเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ ที่ไม่ใช่ใช้เงินของตนเองย่อมมีต้นทุนเกิดขึ้น เช่น ดอกเบี้ย การระดมทุนจากตลาดทุน เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยก็พบว่าแบรนด์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ เป็นที่รู้จักและให้การยอมรับในวงกว้างก็ส่งผลให้มีต้นทุนเหล่านี้ที่ต่ำกว่าธุรกิจที่ไม่มีแบรนด์ ซึ่งตัวเลขที่ให้ความหมายใกล้เคียงพลลัพธ์ข้อนี้เราได้ใช้ตัวเลขทางการเงินอย่าง WACC (Weighted Average Cost of Capital) ต้นทุนเฉลี่ยของกิจการ มาเป็นตัวบ่งชี้ความเร็งแรงในข้อนี้

เป็นอย่างไรบ้างคะ?
หากแบรนด์สามารถสร้างผลลัพธ์ทั้ง 3 ข้อนี้ได้
คุณผู้อ่านน่าจะเริ่มเห็นแล้วว่าแบรนด์ที่ดีนั้น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจได้จริง

และผลลัพธ์ทั้ง 3 ด้านนี้ควรเป็นทั้ง
✅ “เป้าหมาย” ของการกำหนดกลยุทธ์
และ
✅ “ตัวชี้วัด” ความสำเร็จของการสร้างแบรนด์
เพราะมันควรเป็นเรื่องเดียวกัน

ส่วนเรื่องของ การคำนวณมูลค่าแบรนด์จากทั้ง 3 ตัวชี้วัดนี้อย่างไร
ไว้มีโอกาสจะมาชวนคุยกันต่อนะคะ 😊


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เริ่มต้นวัดสุขภาพแบรนด์ของคุณวันนี้

📌 นัดดู Demo หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อ:
คุณไนซ์ ยศวดี ถาวรกูล
📞 โทร. 094-528-3047
📧 อีเมล: [email protected]

RECOMMEND

CTM Cafe
read more
15.09.2025 70

ชาตรามือออกแบรนด์ชา CTM
เดินตลาดตาม Trend Specialty Tea

ชาตรามือ แบรนด์ใหม่ CTM CTM หรือ Captivating Tea Muse เป็นแบรนด์ชาใหม่ล่าสุดจากชาตรามือ ที่เน้นชาพรีเมียมคัดสรรคุณภาพดีเยี่ยม ผสมผสานกับวัตถุดิบคุณภาพสูงเพื่อมอบประสบการณ์รสชาติที่แปลกใหม่และสนุกขึ้น แบรนด์นี้มีใบชาหลากหลายสายพันธุ์มากกว่า 10 ชนิด พร้อมเมนูเด่น เช่น ชาอู่หลงนางงาม ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ CTM ได้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านชาอย่างลึกซึ้งของชาตรามือเพื่อสร้างชาในมิติใหม่ที่เหนือชั้นกว่าเดิม อะไรทำให้ชาไทย Specialty เป็นเทรนด์ฮิตตอนนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมชาไทยที่มีการพัฒนาเชิงโครงสร้างในด้านคุณภาพของใบชา ความหลากหลายของแหล่งปลูก และกำลังการผลิต ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดค้าชารายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ผู้บริโภคไทยเริ่มรับรู้และสนใจเครื่องดื่ม Specialty มากขึ้น หลังจากที่กาแฟ Specialty ได้รับความนิยมก่อนหน้านี้ ทำให้มีการพัฒนาชาไทยแบบพรีเมียม ที่มีการคัดใบชาจากแหล่งปลูกหลากหลายทั่วไทย รวมถึงการใช้เทคนิคการชงที่ทันสมัย ชาไทย Specialty เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกใบชาคุณภาพสูงที่มีโน้ตรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวแตกต่างกันตามแหล่งปลูก เช่น ชาเชียงราย ชาแม่ฮ่องสอน […]

read more
12.09.2025 84

แนวโน้ม Trend สำคัญของโรงงาน ในปี 2025

โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” โรงงานยุคใหม่ต้องเป็นทั้ง “อัจฉริยะ” และ “ยั่งยืน” เพื่อรักษาความแข่งขันในตลาดโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและความเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้โรงงานต้องพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถในการคาดการณ์ ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดผู้บริโภค มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กลายเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดกลยุทธ์ของผู้ประกอบการโรงงานทั้งหลาย เทรนด์โรงงานแห่งอนาคต 1. Foresight Factories: โรงงานมองการณ์ไกล ระบบ Predictive Maintenance ช่วยระบุปัญหาก่อนเกิดเหตุจริง และใช้ Digital Twin ในการจำลองสถานการณ์ผลิตเพื่อปรับปรุงกระบวนการอย่างแม่นยำ ภายในปี 2025 อัตราการใช้ระบบอัตโนมัติจะเพิ่มจาก 69% เป็น 79% ขณะที่การเชื่อมต่อทุกกระบวนการช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 2. Decentralized Manufacturing: ผลิตแบบกระจายศูนย์ โรงงานขนาดเล็กเคลื่อนย้ายได้ พร้อมตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มพัฒนาชุดโรงงานย่อยที่ […]

Day One Tactics
read more
10.09.2025 226

Day One Tactics ธุรกิจจับคู่จะชนะอย่างไร เมื่อ ‘ความเร็ว’ และ ‘ตัวเลือกเยอะ’ ไม่ใช่คุณค่าหลักของพฤติกรรมผู้ใช้งาน

ในโลกที่ความสัมพันธ์ไม่ใช่เส้นตรงอีกต่อไป ตั้งแต่หาเพื่อน, หากลุ่มเฉพาะทางที่สนใจ, หางานที่ตรงสาย ไปจนหาเดตที่ใช่ ในทุกวันนี้ทุกอย่างกำลังกระจายตัวสู่ “แพลตฟอร์มตัวกลาง” ที่ทำให้คนอยากเจอกันได้เจอกันง่ายขึ้น แต่ความต้องที่ซับซ้อนอยู่ในตัวทุกคน เรามีความเหงาแต่ก็ขี้เกียจในเวลาเดียวกัน แอปต่างๆ อาจทำให้การเริ่มบทสนทนาง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตรงใจ กลับกัน มันยิ่งตอกคำถามว่าเราจะรักษาความตั้งใจ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของเวลาที่จ่ายลงไปอย่างไร ความซับซ้อนของพฤติกรรมทำให้รูปแบบการมองหาความสัมพันธ์เกิดความยากขึ้น ผู้ใช้งานพร้อมที่จะ ‘ยกเลิก’ ความสัมพันธ์ตลอดเวลา แทนที่การ ‘รักษา’ ให้คงไว้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมตัวเพื่อถอนตัวล่วงหน้า (Banksying), การค่อยๆ เว้นระยะห่างก่อนจากลา (Slow Fade), หรือ การหายไปเฉย ๆ ตัดการสื่อสารทันที (Ghosting) ซึ่งทั้งหมด มี “รากพฤติกรรมร่วม” คือการ หลีกเลี่ยงความอึดอัด (Avoidance), ปกป้องตนเองทางอารมณ์ (Self-Preservation) และ “ภาวะล้นทางเลือก” (Choice Overload) ซึ่งจะเกิดเป็น “ความเหนื่อยล้า” (Dating-App Fatigue) ภาวะทั้งหมดนี้ล้วนกระทบธุรกิจที่ซึ่งขาย ‘ควา […]

read more
08.09.2025 109

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?  อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์ นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ อาหารเหล่านี้อาจมีฉล […]

Vibe coding Trend
read more
05.09.2025 101

Vibe coding Trend คืออะไร? เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนาในอนาคตอย่างไร

Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง อนาคตของอาชีพนักพัฒนาจะเปลี่ยนไปอย่างไร Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง Vibe Coding คือแนวทางการพัฒนาโปรแกรมที่เน้นการทำงานร่วมกับ AI ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น คำสั่งภาษาอังกฤษ ให้ AI ช่วยสร้าง ปรับแต่ง และแนะนำโค้ดแบบไหลลื่นและมีความสร้างสรรค์สูง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัด ส่วน GitHub Copilot คือหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ช่วยแนะนำโค้ดระหว่างการเขียนจริง ๆ โดยมันจะเติมโค้ดหรือฟังก์ชันที่คาดว่าจะใช้ในบริบทนั้น ๆ แต่ยังต้องให้ผู้พัฒนาเป็นผู้เขียนและควบคุมหลัก ความแตกต่างหลักระหว่าง Vibe Coding กับ Copilot คือ Vibe Coding เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เน้นการใช้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยในการพัฒนาโค้ดทั้งโปรเจกต์ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติแบบโต้ตอบ ที่ช่วยให้การสร้างโค้ดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ขึ้น Copilot เป็นเครื่องมือหนึ่งใน Ecosystem ของ Vibe Coding ที่ให้การช่วยเติมโค้ดและแนะนำฟังก์ชัน แต่ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดแบบเดิมที่มีรูปแบบที่จำกัดและใช้คำสั่งโดยตรงน้อยกว่า เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนา […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง