UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด
เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร
เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ
กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง
เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้
คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ
UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?
อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น
ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น
- ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน
- ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด
- โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์
- นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ
อาหารเหล่านี้อาจมีฉลากบอกว่า “ดีต่อสุขภาพ” หรือ “อุดมด้วยวิตามิน” แต่คุณค่าที่แท้จริงมักถูกลดทอนลงอย่างมากจากการแปรรูปทำไม UPF ถึงน่ากังวล?
งานวิจัยจากหลายประเทศชี้ตรงกันว่า การบริโภค อาหารแปรรูปสูงหรือ UPF มากเกินไป เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และแม้แต่ภาวะซึมเศร้า สิ่งที่ทำให้ UPF “อันตรายเงียบ” มีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ
- กินง่าย กินเพลินเกินไป
เพราะถูกออกแบบรสชาติให้ติดปาก เคี้ยวง่าย และให้ความรู้สึกอร่อยทันที ทำให้เรามักกินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ - สารอาหารลดลง แต่พลังงานสูงขึ้น
แม้บางชิ้นจะมีไฟเบอร์ วิตามินเสริม หรือโปรตีนเพิ่มเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถทดแทนคุณค่าจากอาหารสดใหม่ตามธรรมชาติได้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน บริษัท บารามีซี่ แล็บ และ IQQEW POLL ได้สำรวจผู้บริโภคจำนวน 800 คนทั่วประเทศ จึงสำรวจ พฤติกรรมการกินและความเข้าใจเรื่อง UPF ของผู้บริโภค รวมถึงวิธีการดูแลสุขภาพและแรงจูงใจในการเลือกอาหารของแต่ละกลุ่ม ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักสื่อสารด้านสุขภาพ วางกลยุทธ์สื่อสารและออกแบบสินค้าได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
ความเข้าใจของผู้บริโภครู้จัก UPF แค่ไหน?
ผลการศึกษาสามารถแบ่งผู้บริโภคตาม ความรู้เรื่อง อาหารแปรรูปสูง หรือ Ultra-Processed Foods (UPF) ออกเป็น 3 กลุ่ม
- 50.93% – Medium Knowledge (เข้าใจปานกลาง)
สามารถแยกแยะ อาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้บางส่วน แต่ยังสับสน โดยเฉพาะอาหารสุขภาพที่ “ดูดีแต่ไม่จริง” เช่น ซีเรียลบาร์หรือนมปรุงแต่ง - 36.80% – Low Knowledge (รู้ต่ำ)
แม้กระทั่งอาหารพื้นฐานก็ยังสับสน เช่น คิดว่าข้าวสวยหรือนมพาสเจอร์ไรส์เป็น UPF - 12.27% – High Knowledge (เข้าใจสูง)
สามารถแยกแยะอาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้ชัดเจน มีความรู้เชิงลึกเรื่องโภชนาการ และมักเลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ หรืออาหารแปรรูปน้อย
เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคเลือกกินอาหารสุขภาพหรือหลีกเลี่ยง UPF
ผู้บริโภคไม่ได้เลือกอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ละคนมีแรงจูงใจและเป้าหมายแตกต่างกัน การเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสื่อสารได้ตรงใจ
- 20.21% – อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
หลายคนเริ่มสังเกตอาหารที่กิน เพราะต้องการควบคุมน้ำหนัก มักเลือกอาหารที่ดู “คลีน” หรือแคลอรีต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มักเต็มไปด้วยน้ำตาลหรือไขมันซ่อนเร้น - 51.8% – อยากมีสุขภาพดี / ป้องกันโรค
กลุ่มนี้มุ่งหวังเรื่องสุขภาพระยะยาว เลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปสูง (UPF) เพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันสูง หรือเบาหวาน - 13.62% – เคยมีปัญหาสุขภาพ จึงเริ่มใส่ใจ
บางคนเริ่มสนใจอาหารสุขภาพหลังพบปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ปรับพฤติกรรมการกินไปในทิศทางที่ดีขึ้น - 11.38% – เพื่อควบคุมโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง มักระมัดระวังอาหารที่กิน เลือกอาหารที่เหมาะสมกับโรค และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่อาจกระทบสุขภาพ - 2.99% – ตามเทรนด์ / กระแสในโซเชียล
บางกลุ่มเลือกอาหารสุขภาพตามโซเชียลมีเดียหรือเทรนด์แฟชั่นอาหาร เช่น Plant-Based, Keto หรือ Low-Carb แม้บางครั้งยังไม่เข้าใจความหมายจริงของอาหารเหล่านั้น
ผู้บริโภคแต่ละคนมีวิธีเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่แตกต่างกันอย่างไร?
ในโลกของอาหารและสุขภาพ ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน การเข้าใจวิธีที่แต่ละกลุ่มเลือกอาหารจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารและตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด
- 16.27% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Hedonic ซึ่งให้ความสำคัญกับรสชาติและความคุ้มค่าเป็นหลัก การเลือกอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทันทีหรือราคาที่เหมาะสม แทบไม่ค่อยสนใจฉลากสุขภาพหรือส่วนประกอบภายใน ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่ม Hedonic มักไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) หรือความแปรรูปของอาหารมากนัก
- 55.6% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Health Conscious เบื้องต้น พวกเขาเริ่มใส่ใจสุขภาพและมักเลือกอาหารจากฉลากหรือคำโฆษณาที่สื่อว่า “ดีต่อสุขภาพ” แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของส่วนประกอบหรือกระบวนการผลิต พฤติกรรมแบบนี้สะท้อนถึงความสนใจด้านสุขภาพในระดับทั่วไป
- 28.13% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Ingredient Mindful ซึ่งใส่ใจสุขภาพในเชิงลึก พวกเขาอ่านฉลากและส่วนประกอบอาหารอย่างละเอียด เลี่ยงวัตถุสังเคราะห์ และเลือกอาหารที่แปรรูปน้อย การตัดสินใจเลือกอาหารของพวกเขาเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) และความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการ
ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกันทั้งหมด ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนทั้งระดับความรู้ ความสนใจ และแรงจูงใจในการเลือกอาหาร
การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการอาหาร เพราะช่วยให้สามารถ ออกแบบการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ทั้งในด้านเนื้อหา ช่องทาง และรูปแบบข้อความ ทำให้การสื่อสารด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลุ่ม Core Health Enthusiast – 22.99%
กลุ่มนี้ใส่ใจสุขภาพสูงสุด เลือกอาหารด้วยความรู้และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Ultra-Processed Food (UPF) พวกเขาไม่เพียงสนใจรสชาติ แต่ยังพิจารณาวัตถุดิบและระดับการแปรรูปก่อนตัดสินใจบริโภค แรงจูงใจหลักคือการป้องกันโรคและการควบคุมสุขภาพโดยรวม สำหรับผู้ประกอบการ กลุ่มนี้เหมาะกับการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก เช่น การสื่อสารเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ แหล่งที่มา หรือการสร้างโปรแกรมพิเศษที่ตอบโจทย์ผู้ใส่ใจสุขภาพจริงจัง
กลุ่ม Moderate Health Aware – 12.24%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารและอาหารแปรรูปสูง (UPF) ในระดับปานกลางถึงสูง แต่บางครั้งยังถูกกำกับด้วยรสชาติ ความสะดวก หรือเทรนด์ ทำให้ใส่ใจสุขภาพได้บ้างแต่ยังสับสนเรื่องการเลือกอาหาร แรงจูงใจมักเกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคหรือการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มนี้เหมาะกับการสื่อสารแบบกระชับ เข้าใจง่าย ใช้ Social Media หรือ Influencer เพื่อสร้าง Awareness และเน้นข้อดีของอาหารที่ทั้งสะดวกและดีต่อสุขภาพ
กลุ่ม At-risk Misinterpreters – 60.95%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) ต่ำ แม้บางครั้งสนใจสุขภาพ พวกเขามักเลือกอาหารตามฉลากสุขภาพหรือเทรนด์โดยไม่ตรวจสอบรายละเอียด ทำให้เสี่ยงต่อการเลือกอาหารที่ “คิดว่าเฮลตี้ แต่จริง ๆ อาจไม่ดีต่อสุขภาพ” การสื่อสารกับกลุ่มนี้ควรเริ่มจากข้อมูลพื้นฐาน ชัดเจน ว่าผลิตภัณฑ์ใดไม่เข้าข่าย UPF หรือมีการแปรรูปน้อย พร้อมใช้เครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น เช่น การันตีคุณภาพ หรือรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ
กลุ่ม Passive Consumers – 3.81%
กลุ่มนี้ไม่ค่อยสนใจสุขภาพหรืออาหารแปรรูปสูง (UPF) การเลือกอาหารขึ้นอยู่กับรสชาติ ความสะดวก หรือความคุ้นเคย แรงจูงใจด้านสุขภาพแทบไม่มี กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการจึงเน้นการสร้างความสนใจผ่านรสชาติ ความสะดวก และการตลาดทันสมัย พร้อมแนะนำข้อมูลสุขภาพแบบเบา ๆ เพื่อค่อย ๆ สร้าง Awareness ในระยะยาว
บทสรุปส่งท้าย
การเข้าใจและแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตาม พฤติกรรม ความรู้ และแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางกลยุทธ์ได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า การสร้างคอนเทนต์ หรือโปรโมชั่น การสื่อสารที่ตรงกลุ่มช่วยลดความสับสนเรื่องอาหารสุขภาพ เพิ่ม Engagement และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ ในตลาดร้านอาหารที่ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้น ร้านอาหารแบรนด์ที่ต้องการเติบโตและอยู่ได้นาน ต้องเลิกใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับทุกคน การเข้าใจว่า “ใครคือลูกค้าของเรา” และ “แต่ละกลุ่มให้ความสำคัญกับอะไร” คือหัวใจสำคัญของการวางแผนที่ได้ผลจริง
กลยุทธ์ที่ดีไม่ได้หมายความแค่การลดราคา หรือจัดโปรโมชั่นทั่วไป แต่คือการให้สิ่งที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มรู้สึกว่าคุ้มค่าและเหมาะกับความต้องการของเขาจริง ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และทำให้ร้านอาหารแบรนด์ของคุณแข็งแกร่งและแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต