Baramizi Lab logo

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร

เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ

กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง

เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้

คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ

UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด? 

อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น

ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น

  • ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน
  • ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด
  • โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์
  • นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ

อาหารเหล่านี้อาจมีฉลากบอกว่า “ดีต่อสุขภาพ” หรือ “อุดมด้วยวิตามิน” แต่คุณค่าที่แท้จริงมักถูกลดทอนลงอย่างมากจากการแปรรูปทำไม UPF ถึงน่ากังวล?

งานวิจัยจากหลายประเทศชี้ตรงกันว่า การบริโภค อาหารแปรรูปสูงหรือ UPF มากเกินไป เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และแม้แต่ภาวะซึมเศร้า สิ่งที่ทำให้ UPF “อันตรายเงียบ” มีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ

  1. กินง่าย กินเพลินเกินไป
    เพราะถูกออกแบบรสชาติให้ติดปาก เคี้ยวง่าย และให้ความรู้สึกอร่อยทันที ทำให้เรามักกินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
  2. สารอาหารลดลง แต่พลังงานสูงขึ้น
    แม้บางชิ้นจะมีไฟเบอร์ วิตามินเสริม หรือโปรตีนเพิ่มเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถทดแทนคุณค่าจากอาหารสดใหม่ตามธรรมชาติได้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน บริษัท บารามีซี่ แล็บ และ IQQEW POLL ได้สำรวจผู้บริโภคจำนวน 800 คนทั่วประเทศ จึงสำรวจ พฤติกรรมการกินและความเข้าใจเรื่อง UPF ของผู้บริโภค รวมถึงวิธีการดูแลสุขภาพและแรงจูงใจในการเลือกอาหารของแต่ละกลุ่ม ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักสื่อสารด้านสุขภาพ วางกลยุทธ์สื่อสารและออกแบบสินค้าได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

ความเข้าใจของผู้บริโภครู้จัก UPF แค่ไหน?

ผลการศึกษาสามารถแบ่งผู้บริโภคตาม ความรู้เรื่อง อาหารแปรรูปสูง หรือ Ultra-Processed Foods (UPF) ออกเป็น 3 กลุ่ม

  • 50.93% – Medium Knowledge (เข้าใจปานกลาง)
    สามารถแยกแยะ อาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้บางส่วน แต่ยังสับสน โดยเฉพาะอาหารสุขภาพที่ “ดูดีแต่ไม่จริง” เช่น ซีเรียลบาร์หรือนมปรุงแต่ง
  • 36.80% – Low Knowledge (รู้ต่ำ)
    แม้กระทั่งอาหารพื้นฐานก็ยังสับสน เช่น คิดว่าข้าวสวยหรือนมพาสเจอร์ไรส์เป็น UPF
  • 12.27% – High Knowledge (เข้าใจสูง)
    สามารถแยกแยะอาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้ชัดเจน มีความรู้เชิงลึกเรื่องโภชนาการ และมักเลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ หรืออาหารแปรรูปน้อย

Ultra-Processed Foods

เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคเลือกกินอาหารสุขภาพหรือหลีกเลี่ยง UPF

ผู้บริโภคไม่ได้เลือกอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ละคนมีแรงจูงใจและเป้าหมายแตกต่างกัน การเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสื่อสารได้ตรงใจ

ultra-processed food

  1. 20.21% – อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
    หลายคนเริ่มสังเกตอาหารที่กิน เพราะต้องการควบคุมน้ำหนัก มักเลือกอาหารที่ดู “คลีน” หรือแคลอรีต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มักเต็มไปด้วยน้ำตาลหรือไขมันซ่อนเร้น
  2. 51.8% – อยากมีสุขภาพดี / ป้องกันโรค
    กลุ่มนี้มุ่งหวังเรื่องสุขภาพระยะยาว เลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปสูง (UPF) เพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันสูง หรือเบาหวาน
  3. 13.62% – เคยมีปัญหาสุขภาพ จึงเริ่มใส่ใจ
    บางคนเริ่มสนใจอาหารสุขภาพหลังพบปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ปรับพฤติกรรมการกินไปในทิศทางที่ดีขึ้น
  4. 11.38% – เพื่อควบคุมโรคประจำตัว
    ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง มักระมัดระวังอาหารที่กิน เลือกอาหารที่เหมาะสมกับโรค และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่อาจกระทบสุขภาพ
  5. 2.99% – ตามเทรนด์ / กระแสในโซเชียล
    บางกลุ่มเลือกอาหารสุขภาพตามโซเชียลมีเดียหรือเทรนด์แฟชั่นอาหาร เช่น Plant-Based, Keto หรือ Low-Carb แม้บางครั้งยังไม่เข้าใจความหมายจริงของอาหารเหล่านั้น

ผู้บริโภคแต่ละคนมีวิธีเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่แตกต่างกันอย่างไร?

ในโลกของอาหารและสุขภาพ ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน การเข้าใจวิธีที่แต่ละกลุ่มเลือกอาหารจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารและตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด

ultra-processed food

  1. 16.27% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Hedonic ซึ่งให้ความสำคัญกับรสชาติและความคุ้มค่าเป็นหลัก การเลือกอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทันทีหรือราคาที่เหมาะสม แทบไม่ค่อยสนใจฉลากสุขภาพหรือส่วนประกอบภายใน ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่ม Hedonic มักไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) หรือความแปรรูปของอาหารมากนัก
  2. 55.6% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Health Conscious เบื้องต้น พวกเขาเริ่มใส่ใจสุขภาพและมักเลือกอาหารจากฉลากหรือคำโฆษณาที่สื่อว่า “ดีต่อสุขภาพ” แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของส่วนประกอบหรือกระบวนการผลิต พฤติกรรมแบบนี้สะท้อนถึงความสนใจด้านสุขภาพในระดับทั่วไป
  3. 28.13% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Ingredient Mindful ซึ่งใส่ใจสุขภาพในเชิงลึก พวกเขาอ่านฉลากและส่วนประกอบอาหารอย่างละเอียด เลี่ยงวัตถุสังเคราะห์ และเลือกอาหารที่แปรรูปน้อย การตัดสินใจเลือกอาหารของพวกเขาเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) และความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการ

ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกันทั้งหมด ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนทั้งระดับความรู้ ความสนใจ และแรงจูงใจในการเลือกอาหาร

การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการอาหาร เพราะช่วยให้สามารถ ออกแบบการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ทั้งในด้านเนื้อหา ช่องทาง และรูปแบบข้อความ ทำให้การสื่อสารด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ultra-processed food

กลุ่ม Core Health Enthusiast – 22.99%
กลุ่มนี้ใส่ใจสุขภาพสูงสุด เลือกอาหารด้วยความรู้และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Ultra-Processed Food (UPF) พวกเขาไม่เพียงสนใจรสชาติ แต่ยังพิจารณาวัตถุดิบและระดับการแปรรูปก่อนตัดสินใจบริโภค แรงจูงใจหลักคือการป้องกันโรคและการควบคุมสุขภาพโดยรวม สำหรับผู้ประกอบการ กลุ่มนี้เหมาะกับการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก เช่น การสื่อสารเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ แหล่งที่มา หรือการสร้างโปรแกรมพิเศษที่ตอบโจทย์ผู้ใส่ใจสุขภาพจริงจัง

กลุ่ม Moderate Health Aware – 12.24%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารและอาหารแปรรูปสูง (UPF) ในระดับปานกลางถึงสูง แต่บางครั้งยังถูกกำกับด้วยรสชาติ ความสะดวก หรือเทรนด์ ทำให้ใส่ใจสุขภาพได้บ้างแต่ยังสับสนเรื่องการเลือกอาหาร แรงจูงใจมักเกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคหรือการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มนี้เหมาะกับการสื่อสารแบบกระชับ เข้าใจง่าย ใช้ Social Media หรือ Influencer เพื่อสร้าง Awareness และเน้นข้อดีของอาหารที่ทั้งสะดวกและดีต่อสุขภาพ

กลุ่ม At-risk Misinterpreters – 60.95%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) ต่ำ แม้บางครั้งสนใจสุขภาพ พวกเขามักเลือกอาหารตามฉลากสุขภาพหรือเทรนด์โดยไม่ตรวจสอบรายละเอียด ทำให้เสี่ยงต่อการเลือกอาหารที่ “คิดว่าเฮลตี้ แต่จริง ๆ อาจไม่ดีต่อสุขภาพ” การสื่อสารกับกลุ่มนี้ควรเริ่มจากข้อมูลพื้นฐาน ชัดเจน ว่าผลิตภัณฑ์ใดไม่เข้าข่าย UPF หรือมีการแปรรูปน้อย พร้อมใช้เครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น เช่น การันตีคุณภาพ หรือรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ

กลุ่ม Passive Consumers – 3.81%
กลุ่มนี้ไม่ค่อยสนใจสุขภาพหรืออาหารแปรรูปสูง (UPF) การเลือกอาหารขึ้นอยู่กับรสชาติ ความสะดวก หรือความคุ้นเคย แรงจูงใจด้านสุขภาพแทบไม่มี กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการจึงเน้นการสร้างความสนใจผ่านรสชาติ ความสะดวก และการตลาดทันสมัย พร้อมแนะนำข้อมูลสุขภาพแบบเบา ๆ เพื่อค่อย ๆ สร้าง Awareness ในระยะยาว

บทสรุปส่งท้าย

การเข้าใจและแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตาม พฤติกรรม ความรู้ และแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางกลยุทธ์ได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า การสร้างคอนเทนต์ หรือโปรโมชั่น การสื่อสารที่ตรงกลุ่มช่วยลดความสับสนเรื่องอาหารสุขภาพ เพิ่ม Engagement และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้ ในตลาดร้านอาหารที่ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้น ร้านอาหารแบรนด์ที่ต้องการเติบโตและอยู่ได้นาน ต้องเลิกใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับทุกคน การเข้าใจว่า “ใครคือลูกค้าของเรา” และ “แต่ละกลุ่มให้ความสำคัญกับอะไร” คือหัวใจสำคัญของการวางแผนที่ได้ผลจริง

กลยุทธ์ที่ดีไม่ได้หมายความแค่การลดราคา หรือจัดโปรโมชั่นทั่วไป แต่คือการให้สิ่งที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มรู้สึกว่าคุ้มค่าและเหมาะกับความต้องการของเขาจริง ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และทำให้ร้านอาหารแบรนด์ของคุณแข็งแกร่งและแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

RECOMMEND

satellite light pollution
read more
20.10.2025 200

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่

ปรากฏการณ์ “แสงจากดาวเทียม” คืออะไรเเล้วกระทบกับเรามากแค่ไหน ทุกวันนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป ในยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำจำนวนมหาศาลได้เริ่มทิ้งร่องรอยเป็นเส้นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้า ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ “มลภาวะแสงจากดาวเทียม” (Satellite Light Pollution) แก่นของปัญหาคือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบวัตถุในวงโคจร ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์เซลล์หรือเสาอากาศ กลับมายังโลก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านหมู่ดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ทำไมปัญหานี้จึงเด่นชัดขึ้นในวันนี้? หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักคือปริมาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ โครงการกลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellations) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสำรวจโลก ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนับหมื่นดวง และยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต หรือหากมองภาพง่ายๆ คือท้องฟ้าที่เเน่นไปด้วยหมู่ดาวเทียม ทำให้ภารกิจในการเฝ้ามอ […]

T-Beauty
read more
08.10.2025 389

จาก T-Pop สู่ T-Beauty: เมื่อวัฒนธรรมไทยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงาม

ปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จของแบรนด์ T-Beauty ความนิยมและความเติบโตของตลาด T-Beauty ตลาดความงามในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่ารวมมากกว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9-10% ตลาดนี้ได้นำเสนอระบบนิเวศน์ครบวงจรที่ผสมผสานวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดดิจิทัล โดยมีแบรนด์ไทยเป็นที่สนใจและได้รับการยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น การจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางค้าปลีกหลักๆ มีบทบาทสำคัญ อิทธิพลของวัฒนธรรมและไอดอล T-Pop ความสำเร็จของ T-Beauty ได้รับแรงสนับสนุนจากวัฒนธรรมป๊อปไทยหรือ T-Pop เช่น นักแสดงจากละครแนว BL และศิลปินดังอย่าง Lisa จาก BLACKPINK ที่กลายเป็นหน้าโฆษณาของแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ ลักษณะความงามที่เน้นความเป็นธรรมชาติ แบบ “Swai Meiku” คือความสมดุลระหว่างสไตล์เอเชียและตะวันตกที่ดูสวยแบบไม่ตั้งใจแต่ตั้งใจ ทำให้เกิดกระแสแรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เทรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซรั่ม Exosome, ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Growth Factors และเปปไทด์ ซึ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพผิวตามชีววิทยาเ […]

thai cities safety resilience trend
read more
02.10.2025 410

แนวโน้มจะเป็นอย่างไรเมื่อ World Bank เตือน GDP ไทยอาจลด 7-14% ในปี 2593 เพราะภัยพิบัติโลกร้อน

แม้เราจะเดินทางมาถึงช่วงท้ายของปี 2025 แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบข้อมูลย้อนหลัง จำนวนภัยพิบัติทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากเพียง 23 ครั้งในปี 1950 กลายเป็นกว่า 361 ครั้งในปี 2019 ซึ่งล้วนเเล้วเเต่เป็นผลของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับประเทศไทย แม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 258 ล้านตัน คิดเป็น 0.76% ของการปล่อยทั้งหมดทั่วโลกในปี 2020 (ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24) แต่กลับถูกจัดอยู่ใน ประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ความเสี่ยงนี้ครอบคลุมเกือบทุกมิติ ตั้งแต่ผลผลิตทางการเกษตรและประมงชายฝั่ง ไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และฐานทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่เป็นเสน่ห์สำคัญของประเทศ รายงานของ ธนาคารโลก (World Bank) ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เตือนว่า หากไทยยังขาดมาตรการรับมือที่จริงจัง ภาวะโลกร้อนอาจทำให้ GDP ของประเทศลดลงถึง 7–14% ภายในปี 2593 โดยเฉพาะต่อประชากรเปราะบางกว่า 9.4 ล้านคน ซึ่งมีมากถึง 8 ล้านคนที่อย […]

Wellness Economy 5.0
read more
25.09.2025 295

Wellness Economy 5.0 พลังขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก

แนวคิดเศรษฐกิจสุขภาพยุคใหม่ในไทยธุรกิจไหนได้ประโยชน์มากที่สุด Wellness Economy 5.0 Wellness Economy 5.0 คือแนวคิดเศรษฐกิจสุขภาพยุคใหม่ในไทย ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยยึดสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะในยุคที่ไทยกำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ (super-aged society) ภายในปี 2033 แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่คือการส่งเสริมการใช้ชีวิตเชิงป้องกันและทำให้สุขภาพดีเป็นวิถีชีวิตที่รวมถึงความงาม อาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ Key Idea ของ Wellness Economy 5.0 มุ่งเน้นความสมดุลทั้งทางกาย ใจ อารมณ์ และสังคมผ่านการดำเนินชีวิตที่ดี เกิดการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และรูปแบบการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผลักดันธุรกิจความงาม อาหารเพื่อสุขภาพ บริการออกกำลังกาย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมหลัก รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมลงทุนและพัฒนาระบบสาธารณสุขและ wellness hubs เพื่อรองรับตลาดผู้สูงวัยและสุขภาพดีแบบองค์รวม Wellness Economy ในไทยปี 2023 มีมูลค่าตลาดประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท เติบโตสูงจากกลุ่มนักท่องเที่ยวสุขภาพที่เพิ่มขึ้นและการผสมผสาน […]

Longevity Trend
read more
24.09.2025 296

Longevity Trend
”เมื่อ ‘วัยทำงาน’ ยาวนานขึ้น โอกาสของคนรุ่นใหม่จะเหลือเท่าไหร่?”

อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ปีในทุกๆ 10 ปี) ตำแหน่งงานเก่าๆ ยังไม่ว่างให้คนรุ่นใหม่เข้าทำงาน Longevity Trend แนวโน้ม Longevity Trend หรือแนวโน้มคนมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้คนจำนวนมากเลือกหรือจำเป็นต้องเกษียณช้าลงจากเดิม โดยอายุเกษียณที่เคยอยู่ราว 60 ปี เริ่มถูกปรับเพิ่มเป็น 65 ปีขึ้นไป ทั้งในไทยและในหลายประเทศ เพราะคนมีสุขภาพดีขึ้น เรียนรู้และทำงานได้นานขึ้น พร้อมกับระบบสวัสดิการและนโยบายที่สนับสนุนให้คนยังคงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะที่การเกษียณช้าช่วยให้มีรายได้และสวัสดิการทางการเงินที่มากขึ้น ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการแยกตัวจากสังคมได้ด้วย และการทำงานต่อเนื่องยังช่วยให้สมองและร่างกายได้รับการกระตุ้น ช่วยยืดอายุขัยโดยรวม สาเหตุของการเกษียณช้าลง อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ปีในทุกๆ 10 ปี) คนสูงอายุในยุคใหม่มีสุขภาพดีขึ้น เขียนได้ ชำนาญและมีประสบการณ์มากกว่ารุ่นก่อน ระบบสวัสดิการ ศูนย์ดูแลสุขภาพ และโครงสร้างทางสังคมที่สนับสนุนให้คนสูงอายุทำงานต่อได้ ความจำเป็นด้านการเงิน เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอจากเงินออมและ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง