Baramizi Lab logo

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

Ultra-Processed Foods (UPF)

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร


เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ

กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง

เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้

คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ

UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด? 

อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น

ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น

  • ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน
  • ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด
  • โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์
  • นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ

อาหารเหล่านี้อาจมีฉลากบอกว่า “ดีต่อสุขภาพ” หรือ “อุดมด้วยวิตามิน” แต่คุณค่าที่แท้จริงมักถูกลดทอนลงอย่างมากจากการแปรรูปทำไม UPF ถึงน่ากังวล?

งานวิจัยจากหลายประเทศชี้ตรงกันว่า การบริโภค อาหารแปรรูปสูงหรือ UPF มากเกินไป เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และแม้แต่ภาวะซึมเศร้า สิ่งที่ทำให้ UPF “อันตรายเงียบ” มีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ

  1. กินง่าย กินเพลินเกินไป
    เพราะถูกออกแบบรสชาติให้ติดปาก เคี้ยวง่าย และให้ความรู้สึกอร่อยทันที ทำให้เรามักกินเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
  2. สารอาหารลดลง แต่พลังงานสูงขึ้น
    แม้บางชิ้นจะมีไฟเบอร์ วิตามินเสริม หรือโปรตีนเพิ่มเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถทดแทนคุณค่าจากอาหารสดใหม่ตามธรรมชาติได้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน บริษัท บารามีซี่ แล็บ และ IQQEW POLL ได้สำรวจผู้บริโภคจำนวน 800 คนทั่วประเทศ จึงสำรวจ พฤติกรรมการกินและความเข้าใจเรื่อง UPF ของผู้บริโภค รวมถึงวิธีการดูแลสุขภาพและแรงจูงใจในการเลือกอาหารของแต่ละกลุ่ม ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักสื่อสารด้านสุขภาพ วางกลยุทธ์สื่อสารและออกแบบสินค้าได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

ความเข้าใจของผู้บริโภครู้จัก UPF แค่ไหน?

ผลการศึกษาสามารถแบ่งผู้บริโภคตาม ความรู้เรื่อง อาหารแปรรูปสูง หรือ Ultra-Processed Foods (UPF) ออกเป็น 3 กลุ่ม

  • 50.93% – Medium Knowledge (เข้าใจปานกลาง)
    สามารถแยกแยะ อาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้บางส่วน แต่ยังสับสน โดยเฉพาะอาหารสุขภาพที่ “ดูดีแต่ไม่จริง” เช่น ซีเรียลบาร์หรือนมปรุงแต่ง
  • 36.80% – Low Knowledge (รู้ต่ำ)
    แม้กระทั่งอาหารพื้นฐานก็ยังสับสน เช่น คิดว่าข้าวสวยหรือนมพาสเจอร์ไรส์เป็น UPF
  • 12.27% – High Knowledge (เข้าใจสูง)
    สามารถแยกแยะอาหารแปรรูปสูง (UPF) ได้ชัดเจน มีความรู้เชิงลึกเรื่องโภชนาการ และมักเลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ หรืออาหารแปรรูปน้อย

ผู้บริโภคตาม ความรู้เรื่อง Ultra-Processed Foods

เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคเลือกกินอาหารสุขภาพหรือหลีกเลี่ยง UPF

ผู้บริโภคไม่ได้เลือกอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่ละคนมีแรงจูงใจและเป้าหมายแตกต่างกัน การเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสื่อสารได้ตรงใจ

เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคเลือกกินอาหารสุขภาพหรือหลีกเลี่ยง UPF

  1. 20.21% – อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
    หลายคนเริ่มสังเกตอาหารที่กิน เพราะต้องการควบคุมน้ำหนัก มักเลือกอาหารที่ดู “คลีน” หรือแคลอรีต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มักเต็มไปด้วยน้ำตาลหรือไขมันซ่อนเร้น
  2. 51.8% – อยากมีสุขภาพดี / ป้องกันโรค
    กลุ่มนี้มุ่งหวังเรื่องสุขภาพระยะยาว เลือกอาหารสด อาหารธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปสูง (UPF) เพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันสูง หรือเบาหวาน
  3. 13.62% – เคยมีปัญหาสุขภาพ จึงเริ่มใส่ใจ
    บางคนเริ่มสนใจอาหารสุขภาพหลังพบปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ปรับพฤติกรรมการกินไปในทิศทางที่ดีขึ้น
  4. 11.38% – เพื่อควบคุมโรคประจำตัว
    ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง มักระมัดระวังอาหารที่กิน เลือกอาหารที่เหมาะสมกับโรค และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่อาจกระทบสุขภาพ
  5. 2.99% – ตามเทรนด์ / กระแสในโซเชียล
    บางกลุ่มเลือกอาหารสุขภาพตามโซเชียลมีเดียหรือเทรนด์แฟชั่นอาหาร เช่น Plant-Based, Keto หรือ Low-Carb แม้บางครั้งยังไม่เข้าใจความหมายจริงของอาหารเหล่านั้น

ผู้บริโภคแต่ละคนมีวิธีเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่แตกต่างกันอย่างไร?

ในโลกของอาหารและสุขภาพ ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน การเข้าใจวิธีที่แต่ละกลุ่มเลือกอาหารจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสื่อสารและตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด

ผู้บริโภคแต่ละคนมีวิธีเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่แตกต่างกันอย่างไร?

  1. 16.27% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Hedonic ซึ่งให้ความสำคัญกับรสชาติและความคุ้มค่าเป็นหลัก การเลือกอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทันทีหรือราคาที่เหมาะสม แทบไม่ค่อยสนใจฉลากสุขภาพหรือส่วนประกอบภายใน ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่ม Hedonic มักไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) หรือความแปรรูปของอาหารมากนัก
  2. 55.6% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Health Conscious เบื้องต้น พวกเขาเริ่มใส่ใจสุขภาพและมักเลือกอาหารจากฉลากหรือคำโฆษณาที่สื่อว่า “ดีต่อสุขภาพ” แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของส่วนประกอบหรือกระบวนการผลิต พฤติกรรมแบบนี้สะท้อนถึงความสนใจด้านสุขภาพในระดับทั่วไป
  3. 28.13% ของผู้บริโภคอยู่ในกลุ่ม Ingredient Mindful ซึ่งใส่ใจสุขภาพในเชิงลึก พวกเขาอ่านฉลากและส่วนประกอบอาหารอย่างละเอียด เลี่ยงวัตถุสังเคราะห์ และเลือกอาหารที่แปรรูปน้อย การตัดสินใจเลือกอาหารของพวกเขาเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) และความเข้าใจเกี่ยวกับโภชนาการ

ผู้บริโภคไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกันทั้งหมด ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนทั้งระดับความรู้ ความสนใจ และแรงจูงใจในการเลือกอาหาร

การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการอาหาร เพราะช่วยให้สามารถ ออกแบบการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ทั้งในด้านเนื้อหา ช่องทาง และรูปแบบข้อความ ทำให้การสื่อสารด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กลุ่มผู้บริโภคตามความเข้าใจและพฤติกรรมด้านอาหาร

กลุ่ม Core Health Enthusiast – 22.99%
กลุ่มนี้ใส่ใจสุขภาพสูงสุด เลือกอาหารด้วยความรู้และความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Ultra-Processed Food (UPF) พวกเขาไม่เพียงสนใจรสชาติ แต่ยังพิจารณาวัตถุดิบและระดับการแปรรูปก่อนตัดสินใจบริโภค แรงจูงใจหลักคือการป้องกันโรคและการควบคุมสุขภาพโดยรวม สำหรับผู้ประกอบการ กลุ่มนี้เหมาะกับการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก เช่น การสื่อสารเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ แหล่งที่มา หรือการสร้างโปรแกรมพิเศษที่ตอบโจทย์ผู้ใส่ใจสุขภาพจริงจัง

กลุ่ม Moderate Health Aware – 12.24%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารและอาหารแปรรูปสูง (UPF) ในระดับปานกลางถึงสูง แต่บางครั้งยังถูกกำกับด้วยรสชาติ ความสะดวก หรือเทรนด์ ทำให้ใส่ใจสุขภาพได้บ้างแต่ยังสับสนเรื่องการเลือกอาหาร แรงจูงใจมักเกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคหรือการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มนี้เหมาะกับการสื่อสารแบบกระชับ เข้าใจง่าย ใช้ Social Media หรือ Influencer เพื่อสร้าง Awareness และเน้นข้อดีของอาหารที่ทั้งสะดวกและดีต่อสุขภาพ

กลุ่ม At-risk Misinterpreters – 60.95%
กลุ่มนี้มีความรู้เรื่องอาหารแปรรูปสูง (UPF) ต่ำ แม้บางครั้งสนใจสุขภาพ พวกเขามักเลือกอาหารตามฉลากสุขภาพหรือเทรนด์โดยไม่ตรวจสอบรายละเอียด ทำให้เสี่ยงต่อการเลือกอาหารที่ “คิดว่าเฮลตี้ แต่จริง ๆ อาจไม่ดีต่อสุขภาพ” การสื่อสารกับกลุ่มนี้ควรเริ่มจากข้อมูลพื้นฐาน ชัดเจน ว่าผลิตภัณฑ์ใดไม่เข้าข่าย UPF หรือมีการแปรรูปน้อย พร้อมใช้เครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น เช่น การันตีคุณภาพ หรือรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ

กลุ่ม Passive Consumers – 3.81%
กลุ่มนี้ไม่ค่อยสนใจสุขภาพหรืออาหารแปรรูปสูง (UPF) การเลือกอาหารขึ้นอยู่กับรสชาติ ความสะดวก หรือความคุ้นเคย แรงจูงใจด้านสุขภาพแทบไม่มี กลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการจึงเน้นการสร้างความสนใจผ่านรสชาติ ความสะดวก และการตลาดทันสมัย พร้อมแนะนำข้อมูลสุขภาพแบบเบา ๆ เพื่อค่อย ๆ สร้าง Awareness ในระยะยาว


บทสรุปส่งท้าย

การเข้าใจและแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตาม พฤติกรรม ความรู้ และแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางกลยุทธ์ได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสินค้า การสร้างคอนเทนต์ หรือโปรโมชั่น การสื่อสารที่ตรงกลุ่มช่วยลดความสับสนเรื่องอาหารสุขภาพ เพิ่ม Engagement และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้ ในตลาดร้านอาหารที่ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้น ร้านอาหารแบรนด์ที่ต้องการเติบโตและอยู่ได้นาน ต้องเลิกใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับทุกคน การเข้าใจว่า “ใครคือลูกค้าของเรา” และ “แต่ละกลุ่มให้ความสำคัญกับอะไร” คือหัวใจสำคัญของการวางแผนที่ได้ผลจริง

กลยุทธ์ที่ดีไม่ได้หมายความแค่การลดราคา หรือจัดโปรโมชั่นทั่วไป แต่คือการให้สิ่งที่ลูกค้าแต่ละกลุ่มรู้สึกว่าคุ้มค่าและเหมาะกับความต้องการของเขาจริง ๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และทำให้ร้านอาหารแบรนด์ของคุณแข็งแกร่งและแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต

RECOMMEND

Ultra-Processed Foods (UPF)
read more
08.09.2025 41

UPF: อาหารแปรรูปสูง ที่คุณคิดว่า “ดีต่อสุขภาพ” อาจไม่ใช่อย่างที่คิด

เฮลตี้? หรือแค่ภาพลวงตาของอุตสาหกรรมอาหาร เช้า: ซีเรียลแท่งไฟเบอร์สูงในมือคุณ กลางวัน: ข้าวกล่องคลีนแช่แข็ง เย็น: โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ คุณอาจคิดว่ากำลังกินเพื่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งเหล่านี้จำนวนมากคือ Ultra-Processed Foods (UPF) อาหารแปรรูปสูงที่ผ่านการแต่ง เติม ปรุง ปลอม จนแทบไม่เหลือร่องรอยธรรมชาติ UPF คืออะไร ทำไมถึงอันตรายกว่าที่คิด?  อาหารแปรรูประดับสูงคืออาหารที่ถูกผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน จนแทบไม่เหลือร่องรอยของวัตถุดิบธรรมชาติดั้งเดิม จุดเด่นคือมีการเติมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่น สี สารเพิ่มความหวาน และสารปรุงแต่งรส เพื่อให้อาหารเก็บได้นาน ดูน่ากิน และถูกปากยิ่งขึ้น ที่น่าตกใจคือ… หลายครั้งอาหารที่ถูกโฆษณาให้ดู “เฮลตี้” ก็ยังเข้าข่ายเป็น UPF เช่น ซีเรียลไฟเบอร์สูงที่จริงแล้วใส่น้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทน ขนมปังโฮลวีตในถุง ที่มักใส่สารปรับสภาพแป้งและวัตถุเจือปนหลายชนิด โยเกิร์ต fat-free รสผลไม้ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและกลิ่นสังเคราะห์ นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลืองแต่งรส ที่ผ่านการแต่งเติมจนแทบไม่เหลือคุณค่าจากถั่วจริง ๆ อาหารเหล่านี้อาจมีฉล […]

Vibe coding Trend
read more
05.09.2025 71

Vibe coding Trend คืออะไร? เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนาในอนาคตอย่างไร

Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง อนาคตของอาชีพนักพัฒนาจะเปลี่ยนไปอย่างไร Vibe coding คืออะไรและต่างจากการใช้ Copilot ยังไง Vibe Coding คือแนวทางการพัฒนาโปรแกรมที่เน้นการทำงานร่วมกับ AI ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น คำสั่งภาษาอังกฤษ ให้ AI ช่วยสร้าง ปรับแต่ง และแนะนำโค้ดแบบไหลลื่นและมีความสร้างสรรค์สูง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัด ส่วน GitHub Copilot คือหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ช่วยแนะนำโค้ดระหว่างการเขียนจริง ๆ โดยมันจะเติมโค้ดหรือฟังก์ชันที่คาดว่าจะใช้ในบริบทนั้น ๆ แต่ยังต้องให้ผู้พัฒนาเป็นผู้เขียนและควบคุมหลัก ความแตกต่างหลักระหว่าง Vibe Coding กับ Copilot คือ Vibe Coding เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า เน้นการใช้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยในการพัฒนาโค้ดทั้งโปรเจกต์ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติแบบโต้ตอบ ที่ช่วยให้การสร้างโค้ดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์ขึ้น Copilot เป็นเครื่องมือหนึ่งใน Ecosystem ของ Vibe Coding ที่ให้การช่วยเติมโค้ดและแนะนำฟังก์ชัน แต่ยังคงเป็นเครื่องมือช่วยเขียนโค้ดแบบเดิมที่มีรูปแบบที่จำกัดและใช้คำสั่งโดยตรงน้อยกว่า เทรนด์นี้จะเปลี่ยนอาชีพนักพัฒนา […]

polka dot trend
read more
03.09.2025 62

Nostalgia จิตวิทยาที่ทำให้
เสื้อ Polka Dot เป็นTrendช่วงนี้ ได้อย่างไร?

การค้นหาคำว่า “polka dot outfits” บน Pinterest เพิ่มขึ้น 1,026% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ววงจรแฟชั่น 20 ปีและกระแส Y2K Revival เสื้อ Polka Dot คืออะไร เสื้อ Polka Dot เป็นเสื้อผ้าลายจุดกลมที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนและรักษาความคลาสสิก รวมถึงโดดเด่นด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา จึงเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมตลอดกาลเสื้อ Polka Dot คือเสื้อผ้าที่มีลวดลายจุดกลม ๆ กระจายทั่วผืนผ้า โดยจุดมักจะมีขนาดเท่ากันและเว้นระยะห่างเท่ากัน ชื่อ Polka Dot มาจากชื่อการเต้นรำในยุโรปช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งลายจุดนี้สื่อถึงความร่าเริงและจังหวะสนุกสนานของการเต้นรำ แฟชั่น Polka Dot เป็นสไตล์คลาสสิกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2025 ลายนี้กลับมาเป็นเทรนด์ฮิตอีกครั้ง เพราะให้ความรู้สึกสดใส มีชีวิตชีวา และเหมาะกับหลายโอกาส ทั้งลุคหวาน ลุคชิค หรือแฟชั่นสตรี ทำไมเสื้อ Polka Dot ถึงเป็นกระแสช่วงนี้ 1.จิตวิทยาความคิดถึงและการหาความปลอดภัย Nostalgia การค้นหาคำว่า “polka dot outfits” บน Pinterest เพิ่มขึ้น 1,026% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่คำค้นหา “polka dot” พ […]

read more
03.09.2025 100

ตัวชี้วัดแบรนด์ยุคใหม่: เปิดผล Thailand Brand Superfans Index 2024 ครอบคลุม 30 อุตสาหกรรมไทย

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน กลับมาอีกครั้งกับซีรีย์ Future Brand Evaluation ที่ครั้งนี้เราจะมาเจาะลึกกับข้อมูลผลวิจัยด้านตัวชี้วัดแบรนด์แห่งยุคสมัย Brand Superfans Index ของอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยครั้งล่าสุดที่สามารถใช้เป็น Benchmark ของการกำหนดตัวชี้วัดการสร้างแบรนด์ของแบรนด์คุณได้กันค่ะ ตัวชี้วัดการสร้างแบรนด์ยุคใหม่คืออะไร? Brand Superfans Index ชื่อนี้หลายคนที่ติดตามคอนเทนต์ความรู้ของ Baramizi Group น่าจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดีนะคะ Brand Superfans Index คือตัวชี้วัดการสร้างแบรนด์ยุคใหม่ที่วิจัยโดย รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ ประธานหลักสูตรบริหารธุรกิจและอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับทีมที่ปรึกษาและทีมงานวิจัยจาก Baramizi Lab เผยแพร่ในหนังสือ สร้างมูลค่าแบรนด์สู่โลกอนาคต Brand Future Valuation ด้วยเครื่องมือ BFV Model โดย รศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ และ Baramizi Group โดยในการวัดค่า Brand Superfans Index จะเกิดจากการใช้แบบประเมินวัดระดับด้านทัศนคติและพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างมีต่อแบรนด์ที่พวกเขาใช้งานเป็นประจำเพื่อประเมินระดับความเป็นสาวกของ […]

read more
22.08.2025 221

เทรนด์ Run Club ในไทยปี 2025

คอมมูนิตี้ของคนที่รวมตัวกันเพื่อวิ่งออกกำลังกายร่วมกัน ทำไมการเข้าร่วม Run Club ถึงได้รับความนิยมในไทยตอนนี้ เทรนด์ Run Club ในไทยมีผลต่อการตลาดและแบรนด์กีฬาอย่างไร Run Club คืออะไร Run Club คือกลุ่มหรือคอมมูนิตี้ของคนที่รวมตัวกันเพื่อวิ่งออกกำลังกายร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิ่งมืออาชีพหรือมีประสบการณ์มาก่อน จุดเด่นของ Run Club คือการสร้างบรรยากาศวิ่งที่สนุกสนาน ผ่อนคลาย และมีมิตรภาพ เป็นพื้นที่ให้คนที่มีใจรักการวิ่งได้มาเจอกัน แชร์ประสบการณ์ และวิ่งด้วยกันในรูปแบบต่าง ๆ ตามระดับความชอบหรือระดับความเร็ว ทำไมการเข้าร่วม Run Club ถึงได้รับความนิยมในไทยตอนนี้ การวิ่งไม่ใช่แค่กีฬาแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ lifestyle ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ การวิ่งใน Run Club คือการได้พบปะผู้คนที่มีความชอบคล้ายกัน ทั้งในเรื่องการวิ่ง แฟชั่นรองเท้าวิ่ง และกิจกรรมสังคม เช่น กินกาแฟหลังวิ่ง แบรนด์แฟชั่นและกีฬาเข้ามามีบทบาทส่งเสริมเทรนด์นี้ เช่น การร่วมมือระหว่างแฟชั่นและกีฬา ทำให้คนมองว่าการวิ่งเป็นกิจกรรมที่ใกล้ตัวและสามารถสร้างภาพลักษณ์ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อสุขภาพ แต่ใส่เสื้อผ้าวิ่งยังไปทำงานหรือเที่ยวได้ด้ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง