แนวโน้มจะเป็นอย่างไรเมื่อ World Bank เตือน GDP ไทยอาจลด 7-14% ในปี 2593 เพราะภัยพิบัติโลกร้อน
แม้เราจะเดินทางมาถึงช่วงท้ายของปี 2025 แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์โลกที่กำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบข้อมูลย้อนหลัง จำนวนภัยพิบัติทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากเพียง 23 ครั้งในปี 1950 กลายเป็นกว่า 361 ครั้งในปี 2019 ซึ่งล้วนเเล้วเเต่เป็นผลของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
สำหรับประเทศไทย แม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 258 ล้านตัน คิดเป็น 0.76% ของการปล่อยทั้งหมดทั่วโลกในปี 2020 (ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 24) แต่กลับถูกจัดอยู่ใน ประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ความเสี่ยงนี้ครอบคลุมเกือบทุกมิติ ตั้งแต่ผลผลิตทางการเกษตรและประมงชายฝั่ง ไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และฐานทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่เป็นเสน่ห์สำคัญของประเทศ
รายงานของ ธนาคารโลก (World Bank) ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เตือนว่า หากไทยยังขาดมาตรการรับมือที่จริงจัง ภาวะโลกร้อนอาจทำให้ GDP ของประเทศลดลงถึง 7–14% ภายในปี 2593 โดยเฉพาะต่อประชากรเปราะบางกว่า 9.4 ล้านคน ซึ่งมีมากถึง 8 ล้านคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง
ผู้คนเลือก Safety & Resilience เป็นอันดับ 1 เพราะต้องการเมืองเชิงรุกที่ดูแลพวกเขาได้
ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น เสียงสะท้อนจากประชาชนก็ยืนยันทิศทางเดียวกัน งานสำรวจโดย Baramizi Lab ได้ทำการสำรวจความต้องการของผู้คนด้านการอยู่อาศัยพบว่า ความต้องการสูงสุดของคนไทยคือการมี “เมืองที่สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ดี” เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (93.12%) เป็นอันดับ 1 จาก 9 ความต้องการ ซึ่งทำให้เทรนด์ Safety & Resilience เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น เช่นแนวคิด “City Guardian” ที่ผลักดันให้สิ่งปลูกสร้างและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงรองรับการใช้งาน แต่มีบทบาทเชิงรุกในการป้องกันและฟื้นฟูเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ตัวอย่างเช่น
- Downtown Circle (UAE) คือกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นการผสานธรรมชาติและเทคโนโลยี ด้วยสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบเมืองดูไบ ทำหน้าที่ทั้ง ฟอกอากาศ ผลิตพลังงานหมุนเวียน และสร้างพื้นที่สีเขียวในแนวดิ่ง เสมือน “ปอดลอยฟ้า” ของเมือง สะท้อนว่าโครงสร้างขนาดใหญ่ในอนาคตอาจไม่ใช่แค่แลนด์มาร์ก แต่เป็นระบบนิเวศฟื้นฟูเมือง
- Airbubble (Poland) แสดงมิติของ “ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน” ผ่านสนามเด็กเล่นที่ผสานเทคโนโลยี Photosynthesis และตู้สาหร่าย (Algae) ผ่านพลังงานการกระโดดไปมาของน้องๆ หนูๆ เพื่อสร้างพื้นที่ฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ถึง 75% สื่อสารว่าการออกแบบเพื่อ Resilience ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสเกลยักษ์ แต่สามารถฝังอยู่ในกิจกรรมชีวิตประจำวันที่ผู้คนเข้าถึงได้
แม้เทรนด์ Urbanization จะยังใหม่ แต่เป็น New Norm ที่ทำให้ผู้คนเปิดรับความยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตาม งานสำรวจเดียวกันยังสะท้อนข้อท้าทายสำคัญ นั่นคือความต้องการที่อยู่ลำดับสุดท้ายคือ “ความเป็นอยู่ที่ดีในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว” (57.69%) หรือ เทรนด์ Urbanization ซึ่งในเทรนด์ย่อยประกอบด้วย พื้นที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก (Tiny Drawer), สิ่งปลูกสร้างที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adapt-Friendly), การเช่านิยมแทนการเป็นเจ้าของ (Rent I/O Own) หรือ การแชร์ที่อยู่อาศัย (Sharing Place) ซึ่งเกิดเป็นแนวโน้มที่สำคัญในต่างประเทศ แต่อาจเป็นค่านิยมที่ใหม่สำหรับคนไทย ที่ซึ่งล้วนเข้าใจได้ เราคงไม่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่เล็กเกินไป หรือการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้ายังเป็นเรื่องยาก แต่หากมองลึกลงไป แนวโน้มเหล่านี้ต่างสะท้อนมิติของ “ความยืดหยุ่น” เช่นเดียวกับการป้องกันภัยพิบัติ การใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ อาคารที่ดัดแปลงได้ การอยู่อาศัยที่คล่องตัว และการพึ่งพาทรัพยากรร่วม ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้เมืองสามารถปรับตัวรับความไม่แน่นอนได้ดียิ่งขึ้น
คำถามว่าทั้งสองความต้องการที่มากที่สุด และน้อยที่สุดสะท้อนอะไรกับ “Disasters Ready” หรือ ”ความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ” คำตอบคือ แม้นวัตกรรม และเทคโนโลยีจะเป็นทางออกที่สะดวกในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด แต่สิ่งที่จะกำหนดความยั่งยืนในระยะยาวคือ การสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการปรับตัวของผู้คนทั้งสังคม เพราะในท้ายที่สุด ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “มีหรือไม่มีโซลูชัน” หากแต่ขึ้นอยู่กับ “การนำมาใช้และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง” แม้สองประเด็นนี้จะถูกจัดอยู่ในลำดับความต้องการที่ต่างกัน แต่แท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เมืองที่มีระบบป้องกันภัยพิบัติย่อมสร้างความปลอดภัยขั้นพื้นฐานให้ประชาชน ขณะเดียวกัน เมืองที่ออกแบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนและตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ๆ ก็จะช่วยเสริมให้การรับมือภัยพิบัติไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสังคมที่พร้อมปรับตัวในระยะยาว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตไม่ควรถูกแยกออกจากกัน หากแต่ต้องเดินไปพร้อมกันเพื่อสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่น (Resilient City) อย่างแท้จริง
ที่มา: