Baramizi Lab logo

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? ตีแผ่วิธีการ…การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจ

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร? ตีแผ่วิธีการ…การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจ

การวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจต้องไม่จำกัดวิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ วิจัยเชิงปริมาณ วิจัยตลาด วิจัยเพื่อการออกแบบ ยึดโจทย์ทางธุรกิจเป็นที่ตั้งที่สำคัญแล้วจะใช้กระบวนการใดหรือจะผสมผสานอย่างไรก็ได้ให้มุ่งเป้าคำตอบได้สูงสุด

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ นักสร้างแบรนด์ นักออกแบบ หรือนักพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทุกท่านเคยมีความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ หรืองงงวยกับผลลัพธ์ทางการตลาดที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางการเดินหน้าในธุรกิจของคุณบ้างมั้ยคะ… นับไม่ถ้วนเลยใช่มั้ย การเผชิญกับโจทย์ที่สับสนงุนงงทางธุรกิจใครๆ ก็เป็นกันค่ะ แม้แต่ตัวดิฉันและทีมงานที่ทำธุรกิจในฐานะเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาก็เจอกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลูกค้าจะชอบผลงานที่เราเสนอมั้ย ลูกค้าจะหาเราเจอ ได้ยังไง ทำไมสิ่งนี้ที่เราคิดว่าดีแต่ปล่อยไปทำไมถึงแป้ก งานนวัตกรรมนี้ เหมาะแก่การลงทุนหรือไม่ ทำยังไงให้ลูกค้า Loyalty กับเรา แต่ด้วยธุรกิจของ Baramizi Lab มีลักษณะเป็น B2B (Business to Business) และเป็นลักษณะของการให้บริการที่ใกล้ชิด ได้พูดคุย ได้รับฟัง และสำรวจความคิดเห็นของผู้ร่วมงานด้วยกันตลอด หลายครั้งก็ถามกันได้ตรงๆ ทำให้ความสับสนงุนงงของธุรกิจ Baramizi Lab นั้นยังสามารถหาวิธีคลายข้อสงสัยได้ง่ายและรวดเร็ว แต่กับผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ในอีกหลายธุรกิจไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในธุรกิจที่เป็น B2C (Business to Consumer) ที่ลูกค้ามีจำนวนมากรายและแต่ละรายมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ไม่มาก หรือต่อให้เป็นธุรกิจบริการ ถ้าองค์กรใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ไม่มีทางที่ผู้บริหารหรือเจ้าของแบรนด์จะสัมผัสถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกค้าได้ตรงๆ เช่นเดียวกับธุรกิจ B2B (Business to Business) ที่มีลูกค้าจำนวนมากรายขึ้นมาหรือรูปแบบการให้บริการไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดลูกค้าจนสามารถเข้าใจที่อยู่เบื้องลึกในใจจริงๆ ของลูกค้าได้ สิ่งนั้นทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ต่างๆ นั้น อาจล้มเหลวหรือผิดพลาดได้ เพราะเราขาด “ข้อมูล” ที่ช่วยในการตัดสินใจ

ท่ามกลางโจทย์ที่หลากหลายของธุรกิจที่หลากหลาย Baramizi Lab ในฐานะที่ปรึกษาในด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาธุรกิจได้ปฏิบัติและสร้างผลงานทางการวิจัยเพื่อตอบแต่ละโจทย์ของธุรกิจใหญ่น้อยตลอดเส้นทางการเดินทางของพวกเรา ถ้าถามว่า “วิธีการวิจัยแบบไหนคือดีที่สุดสำหรับตอบปัญหาทางธุรกิจ?” จากประสบการณ์การทำงานย่างเข้าขวบปีที่ 13 บอกได้เลยว่า เราต้องไม่มีข้อจำกัดในการเลือกใช้เครื่องมือหรือวิธีจะเป็นการดีที่สุดค่ะ การที่เราสามารถรู้จักวิธีใช้ที่ได้จากทุกเครื่องมือรู้ให้มากพอว่าเครื่องมือเหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ออกมาหน้าตาอย่างไร? มี Character อย่างไร? และมีข้อจำกัดอะไรจะทำให้เราต่อกรกับทุกโจทย์ที่ท้าทายของธุรกิจได้

 

เครื่องมือและกระบวนการวิจัยมีด้วยกันหลายตัวค่ะ ถ้าจะแบ่งกว้างๆ แบบที่ Baramizi Lab มักจะวางเป็นอาวุธพร้อมใช้ เราแบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน

  1. วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
  2. วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)

2 ประเภทนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจ และการตลาดได้ยินกันบ่อยก็เป็น 2 วิธีการที่ยันพื้นจริงๆ แต่นอกจาก 2 วิธีการนี้ในยุค 4.0 ยังมีอีก 2 วิธีที่เข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและเริ่มเข้ามามีบทบาทบ้าง คือ

  1. เครื่องมือ Social Listening ซึ่งทำหน้าที่กวาด ความคิดเห็นในสังคมออนไลน์ ทำให้สามารถเห็นทิศทางและปริมาณของ Insight บางอย่างได้
  2. Online Poll คล้ายๆ กับการเก็บแบบสอบถามออนไลน์ แต่มาในรูปแบบของชุดคำถามสั้นๆ ถามกับกลุ่มคนที่เป็นสมาชิกที่มีการฝาก Profile ไว้แล้ว

“4 เครื่องมือในการทำวิจัยนี้ช่วยตอบโจทย์ในแต่ละวาระและโอกาสของโจทย์ทางธุรกิจในยุคนี้ได้ค่อนข้างลงตัวค่ะ ซึ่งในแต่ละโจทย์จะไม่ได้ใช้ครบทั้ง 4 เครื่องมือ ขึ้นอยู่กับหัวเรื่องที่ต้องการวิจัย”

 

รูปแบบการวิจัยและตัวอย่างผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัย

  1. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) – ในโจทย์ทางธุรกิจที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการเข้าใจ Insight กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมุ่งเน้นการคุยอย่างมีคุณภาพเพื่อเจาะเข้าไปถึงประเด็นที่อยู่ลึกจริงๆ ได้คำตอบระดับ Unmet Need (ความต้องการที่ซ่อนเร้น) และใช้จำนวนไม่มาก การประมวลผลก็ใช้เวลาน้อยที่สุดไปด้วย วิจัยเชิงคุณภาพจึงถูกใช้บ่อยที่สุดในการค้นคว้าโจทย์ทางธุรกิจ แต่ข้อจำกัดคือ ไม่สามารถให้มุมมองเชิงขนาดของความต้องการได้ กรณีต้องการตัวเลขประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ กระบวนการเชิงคุณภาพจะยังไม่เพียงพอ ระยะเวลาต่อโครงการประมาณ 1.5-2 เดือนขึ้นอยู่กับจำนวนตัวอย่าง

[คลิกรับฟัง การค้นหา Unmet Need]

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยเชิงคุณภาพ

FutureLabResearchOutcomeNeed Laddering

 

  1. วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) – คุณสมบัติสำคัญของกระบวนการนี้คือการสามารถอ่าน Insight ได้ในเชิงภาพรวมของตลาดและที่สำคัญคือสามารถเห็นสัดส่วนของความต้องการและ Insight แต่ละส่วนได้จึงช่วยประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ข้อจำกัดคือใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องใช้ทีมทำงานในระบบจำนวนมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้าหรือบริการไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง Baramizi Lab เคยรับโจทย์ศึกษาเกี่ยวกับแบรนด์ข้าว พบว่าใน 10 คนจึงจะพบคนที่เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ซื้อข้าวสารถุง 5 กก.ด้วยตัวเอง 1 คน แล้วพอขยับเป็นคนซื้อบ้านเดี่ยวระดับราค 20 ล้านบาท หรือรถยนต์คันละ 5 ล้านบาท ก็จะยิ่งทำให้งบประมาณในการได้มาต่อกลุ่มเป้าหมายสูงขึ้น เวลาและงบประมาณจีงนับเป็นข้อจำกัดสำคัญของกระบวนการนี้ ระยะเวลาต่อโครงการประมาณ 3-4 เดือน

 [คลิกเพื่อรับฟังการวิจัยทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกันอย่างไรได้ที่ Future Research Podcast].

 

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยเชิงปริมาณ

FutureLabResearchOutcome_TheDayAfterCrisis_การวิจัยเชิงปริมาณ

 

  1. การใช้ข้อมูลจาก Social Listening – เป็นการใช้เครื่องมือ Social Listening Tools ในการกวาดข้อมูลจากสังคมออนไลน์และทำการวิเคราะห์จัดกลุ่มหาความเชื่อมโยงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์และประเมินแนวโน้มต่างๆ วิธีการนี้เลือกใช้ในโจทย์ที่ต้องการหาแนวโน้มบางอย่าง เช่น แนวโน้มของเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจ เรื่องราวการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆ ตลอดจนชื่อเสียงของแบรนด์ในโลกออนไลน์ เป็นต้น การเลือกใช้กระบวนการนี้ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ประกอบกับวิธีการอื่นๆ เนื่องจากเสียงต่างๆ ในออนไลน์ยังไม่อาจแทนค่าเสียงทั้งหมดจริงๆ ได้ แต่ความน่าสนใจคือสามารถให้ทิศทางในขั้นต้นเพื่อเปิดช่องทางในการศึกษาเชิงลึกต่อไป ข้อดีของ Social Listening คือ ใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการได้มาซึ่งข้อมูลต่ำกว่า เหมาะกับโจทย์ที่ต้องการข้อมูลสดใหม่ หาไอเดียแบบเร็วๆ นำไปต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ได้เลยโดยความเสี่ยงไม่สูง เช่น ไอเดียเพื่อสร้างเรื่องราวการโฆษณา เป็นต้น ระยะเวลาต่อโครงการอยู่ที่ประมาณ 1 เดือน

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยโดยใช้ข้อมูล Social Listening

 สำหรับท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดอ่านได้ที่ เว็บไซต์ของศูนย์วิจัยด้านตลาดการท่องเที่ยว:(หัวข้อบทวิเคราะห์และงานวิจัย > งานวิจัย ททท. ที่เกี่ยวข้อง) ข้อมูลวิจัยการนำเสนอคุณค่าและเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวจากสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) โดยข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาแนวทางสร้างสรรค์เรื่องราวเพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

BaramiziLab-SocialListening_การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 

  1. เครื่องมือ Online Poll – เป็นกระบวนการเก็บข้อมูลในยุคใหม่ที่ใช้หลักการเหมือนการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณคือใช้เป็นแบบสอบถาม แต่ทั้งหมดอยู่ในรูปแบบของออนไลน์ ซึ่งผู้ร่วมตอบแบบสอบถามจะเป็นกลุ่มสมาชิกที่มีตัวตนจริงในโลกออนไลน์แบ่งสัดส่วนตามช่วงวัยและภูมิภาคที่อยู่อาศัย ซึ่งเมื่อเป็นรูปแบบนี้คุณลักษณะสำคัญจึงเป็นเรื่องของความรวดเร็วและสามารถครอบคลุมพื้นที่การเก็บสำรวจได้ทุกภูมิภาคโดยได้ผลคำตอบในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือนในงบประมาณที่ไม่สูงมาก และยังสามารถเก็บสำรวจได้เรื่อยๆ ในทุกๆ เดือนอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของกระบวนการนี้คือ เหมาะกับโจทย์กว้างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนคนทั่วไปที่ระดับรายได้ปานกลาง ไม่เหมาะกับธุรกิจประเภท B2B หรือสินค้าที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างโจทย์ที่เหมาะสม เช่น การสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ การทดสอบไอเดียแคมเปญ หรือการวัดผลการ Launch แคมเปญต่างๆ ที่สื่อสารออกไป

 

ตัวอย่างผลลัพธ์การวิจัยโดยใช้ข้อมูล Online Poll

FutureLabResearchOutcomeTheDayAfterCrisis-OnlinePoll

 

เมื่อมีอาวุธพร้อมมือก็ทำให้ทุกโจทย์ทางธุรกิจสามารถต่อกรได้อย่างไม่เกินเอื้อม ที่เหลือคือการท้าทายไปกันต่อกับเนื้อหาคำถามและเครื่องมือในการล้วงลึกเจาะใจลงไปในห้วงลึกจิตใจของว่าที่ลูกค้ากันค่ะ ยังมีวิธีการและเรื่องราวเทคนิคสนุกๆ ในการเก็บข้อมูลแต่ละแบบอีกมาก นี่เป็นเพียงประตูขั้นแรกที่เป็นการเลือกกระบวนการ ความสามารถที่แท้จริงที่จะทำให้การวิจัยประสบความสำเร็จจะอยู่หลังจากนี้ไปค่ะ โดยยิ่งโจทย์ทางธุรกิจมีความชัดเจนมากเท่าไหร่ ทีมวิจัยก็จะสามารถยึดมั่นในโจทย์และออกแบบคำถามและเครื่องมือทางการวิจัยที่เหมาะสมและเจาะลึกได้ซึ่งเราจะมาแบ่งปันแลกเปลี่ยนกันในบทความครั้งต่อๆ ไปกันค่ะ

 

#FutureLabResearch #ResearchforBusiness #BaramiziLab #ศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคต

 

RECOMMEND

read more
03.11.2025 98

“Gartner” เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมธุรกิจปี 2569

ในปี 2569 จะเป็นปีที่สำคัญต่อผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก นวัตกรรม ไปจนถึงความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เทรนด์เทคโนโลยีทั้งหมดในปีหน้าจะเชื่อมโยงกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven world) และเชื่อมต่อกัน ตลอดเวลา ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศ และสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลไปพร้อมกัน ผู้นำองค์กรต้องเผชิญกับ การหยุดชะงัก (Disruption) นวัตกรรม และความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็ว 10 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญแห่งปี 2569 1. AI Supercomputing Platforms  AI Supercomputing Platforms (แพลตฟอร์ม AI ซูเปอร์คอมพิวติ้ง) เป็นการรวมพลังของ CPU, GPU, ชิป AI ASICs และการประมวลผลแบบนิวโรมอร์ฟิก (จำลองสมองมนุษย์) ช่วยให้องค์กรจัดการงานที่ซับซ้อนมหาศาล ปลดล็อกประสิทธิภาพและนวัตกรรม ต้องอาศัย Orchestration Software เพื่อจัดการเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 องค์กรชั้นนำ 40% จะใช้สถาปัตยกรรม Hybrid Computing (เพิ่มจาก 8% ในปัจจุบัน) ตัวอย่างการใช้งาน: คิดค้นยาใหม่ในไม่กี่สัปดาห์ (แทนที่จะใช้เวลาหลายป […]

เทรนด์ มูเตลู
read more
28.10.2025 320

Trend มูเตลูกับการยอมรับ
จากสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยไทย

ภาคการศึกษาหลายแหล่งเริ่มเปิดหลักสูตรด้านความเชื่อและศาสตร์มากขึ้นสอดคล้องกับค่านิยมคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ GenZ ที่เปิดรับให้เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เทรนด์มูเตลูกับการยอมรับจากสถาบันการศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับความนิยมและยอมรับในรูปแบบของความเชื่อและที่พึ่งทางใจในหมู่นักศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งในไทยมีสถานที่และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับมูเตลูกลายเป็นส่วนหนึ่งของบริบทสังคมในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มี “ศาลสิงโตทอง” หรือ “เจ้าแม่สิงโต” ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักศึกษานิยมไปบูชาเพื่อขอพรเรื่องเรียนและความรัก เชื่อกันว่าหากบนเรื่องการเรียนอย่างถูกวิธีจะได้ผลสำเร็จ มหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็มีการยอมรับว่ามูเตลูกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นักศึกษาใช้เป็นที่พึ่งทางใจในการรับมือกับความกดดัน ความเครียดจากการเรียน และสร้างความมั่นใจ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนการบูรณาการความเชื่อทางไสยศาสตร์ เข้ากับสภาพสังคมเมืองและการศึกษาในยุคสมัยใหม่ โดยยังมีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของมูเตลูกับสังคมไทยในแง่มุมทางวัฒนธรรมและจิตวิทยา ตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรด้ […]

satellite light pollution
read more
20.10.2025 267

ท้องฟ้ายามค่ำคืน ‘มืด’ จริงหรือไม่

ปรากฏการณ์ “แสงจากดาวเทียม” คืออะไรเเล้วกระทบกับเรามากแค่ไหน ทุกวันนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป ในยุคที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำจำนวนมหาศาลได้เริ่มทิ้งร่องรอยเป็นเส้นแสงสีขาวพาดผ่านผืนฟ้า ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ “มลภาวะแสงจากดาวเทียม” (Satellite Light Pollution) แก่นของปัญหาคือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบวัตถุในวงโคจร ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์เซลล์หรือเสาอากาศ กลับมายังโลก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านหมู่ดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ทำไมปัญหานี้จึงเด่นชัดขึ้นในวันนี้? หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักคือปริมาณดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ โครงการกลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellations) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสำรวจโลก ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนับหมื่นดวง และยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต หรือหากมองภาพง่ายๆ คือท้องฟ้าที่เเน่นไปด้วยหมู่ดาวเทียม ทำให้ภารกิจในการเฝ้ามอ […]

read more
29.10.2025 592

การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะไปต่อได้อย่างไร มิติไหนบ้างที่ต้องเร่งปรับเพื่อให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพ

แนวทางกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าการท่องเที่ยวของประเทศไทย ควรเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้มีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงและพัฒนาประสบการณ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการมากยิ่งขึ้น  “Tourist – Centric มุ่งนักท่องเที่ยว (ยุคใหม่) เป็นศูนย์กลาง” คงจะเป็นเป้าหมายในการพัฒนาสินค้าการท่องเที่ยวที่ช่วยให้ประเทศของเรา ที่เป็นประเทศพึ่งพาทรัพยากรภายในที่หลากหลายมาทำประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด  คำถามถัดมาคือ เรื่องอะไรบ้างที่ต้องปรับ เพื่อสอดรับกับทิศทางเหล่านี้ในการพัฒนาสินค้าการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งสรุปได้เป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. การแบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยว  ปรับจาก : อายุ, เจนเนอเรชั่น เป็น “เที่ยวทำไม” วัตถุประสงค์การท่องเที่ยว ในกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง ใช้วัตถุประสงค์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเป็นตัวแบ่งกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มองเห็นถึงความสนใจ และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ต้องการได้รับ ซึ่งจะสัมพันธ์กับการสร้างสรรค์สินค้าทางการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์พวกเขาได้ 2. การแบ่งกลุ่มประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว ปรับจาก : ประเภทแหล่งท่องเที่ยว เป็น  “ป […]

T-Beauty
read more
08.10.2025 476

จาก T-Pop สู่ T-Beauty: เมื่อวัฒนธรรมไทยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงาม

ปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จของแบรนด์ T-Beauty ความนิยมและความเติบโตของตลาด T-Beauty ตลาดความงามในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่ารวมมากกว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9-10% ตลาดนี้ได้นำเสนอระบบนิเวศน์ครบวงจรที่ผสมผสานวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดดิจิทัล โดยมีแบรนด์ไทยเป็นที่สนใจและได้รับการยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น การจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และช่องทางค้าปลีกหลักๆ มีบทบาทสำคัญ อิทธิพลของวัฒนธรรมและไอดอล T-Pop ความสำเร็จของ T-Beauty ได้รับแรงสนับสนุนจากวัฒนธรรมป๊อปไทยหรือ T-Pop เช่น นักแสดงจากละครแนว BL และศิลปินดังอย่าง Lisa จาก BLACKPINK ที่กลายเป็นหน้าโฆษณาของแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ ลักษณะความงามที่เน้นความเป็นธรรมชาติ แบบ “Swai Meiku” คือความสมดุลระหว่างสไตล์เอเชียและตะวันตกที่ดูสวยแบบไม่ตั้งใจแต่ตั้งใจ ทำให้เกิดกระแสแรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เทรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซรั่ม Exosome, ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Growth Factors และเปปไทด์ ซึ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพผิวตามชีววิทยาเ […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง