Baramizi Lab logo

รู้จัก 9 เทรนด์ จากศาสตร์ “LIFESTYLE MEDICINE” ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันจากปรับวิถีชีวิต

รู้จัก 9 เทรนด์ จากศาสตร์ “LIFESTYLE MEDICINE” ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันจากปรับวิถีชีวิต

การดูแลสุขภาพที่เน้น “ป้องกัน” ไว้ก่อน..ดีกว่ามา “รักษา” ทีหลัง กำลังเป็นแนวคิดที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากกระแสความต้องการด้านการดูแลแบบครบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่ให้ความสำคัญทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ไปพร้อมกัน รวมถึงความต้องการที่จะลดอัตราการป่วยของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีทั้งหลายของเรา จึงทำให้ Lifestyle Medicine เป็นหนึ่งในศาสตร์การป้องกันที่น่าจับตามองในอนาคต

Lifestyle Medicine เป็นแนวคิดของการปรับวิถีชีวิตที่ไม่ได้อาศัยแค่ความร่วมมือของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยที่ตัวเราเองด้วยเช่นกันในการที่จะทำให้การปรับและเปลี่ยนพฤติกรรมในทั้ง 6 องค์ประกอบ ให้ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องและยั่งยืน

ซึ่งได้แก่ 1.การมีโภชนาการที่ดี 2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 3.การจัดการกับความเครียดและอารมณ์ 4.การนอนหลับที่มีคุณภาพ 5.ความสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้าง 6.การหลีกเลี่ยงสารอันตราย บุหรี่และแอลกอฮอลล์.

โดยการให้ความสำคัญกับการดูแลองค์ประกอบเหล่านี้ในชีวิต ทำให้ศาสตร์ทางการแพทย์อย่าง “Lifestyle Medicine” หรือ “เวชศาสตร์วิถีชีวิต” มีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายมิติชีวิตของผู้คนและสังคมมากขึ้น

เริ่มตั้งแต่ช่วยให้ผู้คนสามารถปรับพฤติกรรม เพื่อให้ห่างไกลโรค ไปจนถึงช่วยลดภาระของระบบสนับสนุนบริการทางการแพทย์ในสังคม จากโอกาสที่จะช่วยทำให้ผู้คนสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ  เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ข้อมูลว่าปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรคเหล่านี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมของเราเอง ตั้งแต่ทานอาหารที่ไม่ดี, การขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงเรื่องของความเครียด

ทางข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) ได้ทำการคาดการณ์แนวโน้มเทรนด์แห่งอนาคต ที่เป็นผลเกี่ยวข้องกับการปรับและดูแล WELLBEING LIFESTYLE มาได้ทั้งหมด 9 เทรนด์ ได้แก่

1. Personalized Lifestyle Medicine: การดูแลวิถีชีวิตเฉพาะบุคคล 

ความก้าวหน้าในการตรวจประเมินทางชีวภาพ (Biomarkers) และกลยุทธ์การขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่แม่นยำ (Data-Driven) จะช่วยทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อการแพทย์มากขึ้น โดยสามารถช่วยในการพิจารณาลักษณะทางพันธุกรรม นิสัยการใช้ชีวิต และสถานะสุขภาพของคนไข้แต่ละบุคคล ซึ่งตอบโจทย์ความแตกต่างของแต่ละบุคคลมากที่สุด

2.Technology and Digital Health: นวัตกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพ

เหล่า Personal Devices อุปกรณ์สวมใส่ แอปพลิเคชัน รวมถึงโปรแกรมพัฒนาทักษะให้ความรู้ทางออนไลน์ จะยังคงถูกพัฒนามากยิ่งขึ้นและต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหา ติดตาม และสนับสนุนให้การปรับพฤติกรรมมีความต่อเนื่องและเห็นผลลัพธ์ที่ดี ถือเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาสนับสนุนเทรนด์ในเรื่อง Personalized Lifestyle Medicine ได้อย่างชัดเจน

3.Collaborative Care: การดูแลโดยร่วมมือจากทีมสหวิชาชีพ 

เวชศาสตร์การใช้ชีวิตเป็นสาขาสหสาขาวิชาชีพที่ต้องการความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ การบูรณาการที่มากขึ้นระหว่างสาขาวิชาเหล่านี้ถูกคาดหวังให้พัฒนามากยิ่งขึ้น เพื่อการมอบแนวทางด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมของผู้คนในสังคม

4.Workplace Wellness: การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ดีในที่ทำงาน

โปรแกรมสุขภาพที่ดีในออฟฟิศจะถูกพัฒนาต่อเนื่องและมีความเฉพาะตัวมากขึ้น จากสาเหตุของโรคภัยเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น องค์กรทั้งหลายจึงลงทุนด้านสุขภาพในสถานที่ทำงานเพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังในกลุ่มพนักงาน

5.Social Determinants of Health and Health Equity: ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพและความเสมอภาคทางสุขภาพ

ปัจจัยที่กำหนดทางสังคมของสุขภาพ เช่น ความยากจน ที่อยู่อาศัย การศึกษา และการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย เป็นเรื่องที่ทางเวชศาสตร์วิถีชีวิต Lifestyle Medicine ต้องเกี่ยวข้องและจัดการอยู่แล้ว เพราะโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน ส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

ศาสตร์นี้จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมด้านสุขภาพและลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ เพราะทำให้ทุกคนได้รับการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่จำเป็นสำหรับการมีสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงเชื้อชาติ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพ จากการส่งเสริมให้คนเข้าถึงเครื่องมือและความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ยั่งยืน

6.The Military and Lifestyle Medicine: เวชศาสตร์วิถีชีวิตกับการทหาร

เวชศาสตร์วิถีชีวิตมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพและความพร้อมของเหล่ากำลังพลทหารและสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในกองทัพได้.

โดยกรณีตัวอย่าง:  กองทัพสหรัฐฯ ได้นำโมเดลนี้มาใช้เพื่อมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการนอนหลับ กิจกรรม และโภชนาการ ส่งผลต่อการเพิ่มความพร้อมและประสิทธิภาพของทหาร 

– กองทัพเรือสหรัฐฯ มีโครงการที่คล้ายกันที่เรียกว่า Navy Operational Fitness and Fueling System (NOFFS) ซึ่งจัดหาทรัพยากรและคำแนะนำแก่กะลาสีเรือในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการป้องกันการบาดเจ็บ

– กองทัพยังตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตซึ่งได้ดำเนินโครงการออกกำลังกายสำหรับทหารและครอบครัว เพื่อส่งเสริมความยืดหยุ่นและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์

– นอกจากนี้การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Military Medicine พบว่าการสอดแทรกรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น โปรแกรมการควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกาย สามารถนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลและปรับปรุงความพร้อมได้อย่างมาก

7.Lifestyle Medicine in Education: เวชศาสตร์วิถีชีวิตในระบบการศึกษา

การพัฒนาเวชศาสตร์วิถึชีวิตในด้านการศึกษาอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมความเท่าเทียมด้านสุขภาพ โดยอาศัยวิธีการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นแก่นักเรียนเพื่อให้ใช้ในการตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี 

-โดยกรณีตัวอย่าง:

– การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาหลักสูตรที่เป็นองค์รวมด้าน Lifestyle Medicine ทั้งหมดได้ โดยอาจจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการสนับสนุนทางสังคม และยังสามารถสอนนักเรียนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยการดำเนินชีวิตและโรคเรื้อรังให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย

– การฝึกอบรมสำหรับนักการศึกษา: การฝึกอบรมเพื่อนำ Lifestyle Medicine มาสามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพในหมู่นักเรียน และเป็นตัวอย่างการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพได้

– การบูรณาการเข้ากับหลักสูตรที่มีอยู่: Lifestyle Medicine สามารถบูรณาการเข้ากับหลักสูตรที่มีอยู่ได้ เช่น ชีววิทยา สุขศึกษา และพลศึกษา สิ่งนี้สามารถช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าปัจจัยการดำเนินชีวิตส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ได้อย่างไร

– การวิจัยและการประเมินผล: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสามารถทำการทดลองใช้ Lifestyle Medicine และประเมินประสิทธิผลได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถช่วยทำให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อการปรับพฤติกรรม 

8.Lifestyle Medicine in Healthcare Systems: เวชศาสตร์วิถีชีวิตในระบบการบริการดูแลสุขภาพ

การนำโปรแกรมเวชศาสตร์วิถีการดำเนินชีวิตมาใช้ในระบบสุขภาพอย่างต่อเนื่องจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ เพราะสามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมด้านสุขภาพได้จากการให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องของการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ซึ่งจะทำให้ทุกคนห่างไกลโรคมากขึ้น เท่าเทียมด้านสุขภาพมากขึ้นจากการมีองค์ความรู้เหล่านี้ที่สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้

– โดยกรณีตัวอย่างที่อาจทำได้:

– การสนับสนุนให้ความรู้แก่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพให้ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการให้การรักษาด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตแก่ผู้ป่วย

– บูรณาการเข้ากับการดูแลทางคลินิกโดยผสมผสานกับการประเมินสุขภาพตามปกติและแผนการรักษา 

– การพัฒนาโปรแกรม Lifestyle Medicine : ระบบสุขภาพสามารถพัฒนาโปรแกรมทั้งรายบุคคลและกลุ่ม ให้สามารถปรับได้เหมาะกับความต้องการของกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ

– การใช้เครื่องมือด้านสุขภาพแบบดิจิทัล : สามารถใช้เพื่อสนับสนุน Lifestyle Medicine ได้ เช่น แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ป่วยติดตามการออกกำลังกายหรือการรับประทานอาหารได้

– ระบบสุขภาพสามารถร่วมมือกับองค์กรชุมชนเพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ตัวอย่างเช่น ทำงานร่วมกับตลาดเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อจัดหาอาหารเพื่อสุขภาพ หรือร่วมมือกับศูนย์ออกกำลังกายเพื่อเสนอส่วนลดค่าสมาชิกยิม

– การประเมินผลลัพธ์: ระบบสุขภาพควรประเมินผลลัพธ์เพื่อพิจารณาประสิทธิผล และรับประกันได้ว่าจะมีการดำเนินการต่อเนื่อง 

9.New Research in Lifestyle Medicine: การพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต

ปัจจุบันงานวิจัยใหม่ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตกำลังค้นหาว่าวิธีการดำเนินชีวิตสามารถนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังและส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมได้อย่างไรบ้าง จากการทำความเข้าใจกลไกที่การแทรกอยู่ในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาและเข้าใจรูปแบบเหล่านั้นอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน

 

Key Takeaway

ทั้ง 9 เทรนด์เหล่านี้ เกิดขึ้นจากแนวโน้มความต้องการของผู้คนและสังคมปัจจุบันที่ให้ความสำคัญ กับการดูแลให้มีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ เริ่มตั้งแต่ (1) การให้ความสำคัญที่ตนเอง โดยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทุกมิติ (2) การให้องค์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง (3) การ R&D เพื่อหาแนวทางใหม่ ๆ (4) การกำหนดนโยบายที่เหมาะสม.

ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนับสนุนและผลักดันให้ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กลายเป็น…ยา” เข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คนอย่างทำได้จริง มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงยังสามารถทำให้เกิดเป็นโอกาสของภาคธุรกิจที่ทุกคนเลือกจุดยืนได้ว่าธุรกิจของเรามีโอกาสที่จะอยู่ส่วนไหนในขั้นการพัฒนาเหล่านี้ได้บ้าง

เรียบเรียง: กรภัทร คงโชคชัย

แหล่งอ้างอิง

https://globalwellnessinstitute.org/…/medical-wellness…/

https://www.bdmswellness.com/knowledge/lifestyle-medicine

https://www.bdmswellness.com/…/6-healthy-lifestyles-as…

https://www.bdmswellness.com/…/what-is-preventive-medicine

https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1117939

https://www.sdgmove.com/…/social-determinants-of…/

หนังสือ Future Trend Ahead 2024

#Lifestylemedicine #Health #baramizilab

RECOMMEND

index วัดผลการสร้างแบรนด์
read more
04.07.2025 85

วัดผลการสร้างแบรนด์ยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ทุกคนยอมรับ?

ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องกลยุทธ์หรือเครื่องมือไหน ๆ ขอชวนคุณติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกก่อนนะคะ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เชื่อว่า “แบรนด์” คือสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่มีมูลค่าสูงมหาศาล เราอยากให้คุณวางความลังเลทิ้งไว้ตรงนี้เลยค่ะ คำถามที่ว่า “จะลงทุนสร้างแบรนด์ดีไหม?” ขีดฆ่ามันทิ้งไปได้เลย เพราะแค่ยังลังเล ก็อาจทำให้คุณพลาดเกมใหญ่ไปแล้ว ✅ การลงทุนกับการสร้างแบรนด์คือสิ่งที่ถูกต้อง ✅ การสร้างแบรนด์ไม่จำเป็นต้องใช้งบเสมอไป เพราะการสร้างแบรนด์คือการควบคุมทุกจุดสัมผัสของลูกค้าให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพียงแค่มีเข็มทิศที่แม่นยำ และควบคุมทุกประสบการณ์ให้ไปในทิศทางนั้น หากมีงบ ก็สามารถเพิ่มพลังความสร้างสรรค์ให้แตกต่างจนลูกค้าจดจำได้ไม่รู้ลืม 🅾️ แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่มั่นใจคือ “จะวัดผลแบรนด์อย่างไร?” ยอดขายขึ้นหมายถึงแบรนด์ดีหรือไม่? ถ้ายอดขายไม่ขึ้น แปลว่าแบรนด์แย่หรือเปล่า? เราเข้าใจความสับสนตรงนี้ดีค่ะ เพราะแม้แต่คนที่อยู่ในวงการแบรนด์มานาน ยังต้องกลับมาตั้งคำถามนี้กับตัวเองอยู่บ่อย ๆ Baramizi Lab กับการพัฒนาเครื่องมือวัดแบรนด์ Baramizi Lab (ซึ่งหมวกหนึ่งคือนักวิจัยเพื่อการพัฒนาแบรนด์) เข้าใจหัวอกห […]

Future of Cheese
read more
03.07.2025 98

Future of Cheese: ถอดรหัสกระแสอาหารโลกผ่านมุมมองชีส

ขนาดตลาดชีสโลกและไทย: โอกาสเติบโตที่ไม่ควรมองข้าม ตลาดชีสโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่า 93.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR 5.08% จากปี 2025-2033 เพื่อไปสู่มูลค่า 153.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2033 ในขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตไปสู่ 210.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 Global cheese market size projections showing steady growth from 2024 to 2030, with various forecasting models สำหรับตลาดไทย ชีสกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากมูลค่า 2,146.5 ล้านบาทในปี 2563 เติบโตเป็น 4,924.1 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งคิดเป็นการเติบโต 7.6% ในปีที่ผ่านมา การเติบโตนี้สะท้อนอัตรา CAGR 23.07% ระหว่างปี 2020-2024 แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของชีสในตลาดไทย Thai cheese market showing dramatic growth from 2020 to 2024, with market value more than doubling สาเหตุที่ทำให้เกิดเทรนด์ชีส 1. อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย การเติบโตของเทรนด์ชีสได้รับอิทธิพลอย่างมากจากโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok ที่มี hashtag #cottagecheese ได้รับการดูมากกว่า 500 […]

แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV Trends)
read more
02.07.2025 97

แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV Trends) ปี 2025-2026

สรุปภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกทะลุ 17 ล้านคัน คิดเป็นกว่า 20% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่าในปี 2025 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านคัน เติบโตสูงกว่า 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ราคาชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีความสามารถในการแข่งขันใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จไฟฟ้าก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้างมากขึ้น 1. ยอดขายและส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ยอดขายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปี 2024 สูงกว่า 17 ล้านคัน เติบโต 25% เมื่อเทียบกับปี 2023 คิดเป็นกว่า 20% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดทั่วโลก จีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่สุด จำหน่ายรถ EV กว่า 11 ล้านคัน คิดเป็นเกือบ 50% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศ และคิดเป็นเกือบสองในสามของยอดขาย EV โลก สหรัฐฯ มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าราว 1.6 ล้านคัน เติบโต 10% ยุโรปได้รับผลกระทบจากการถอนเงินอุดหนุน แต่ยังรักษาสัดส่วนยอดขายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ประมาณ 20% 2. แนวโน้มภูมิภาคและตลาดเกิด […]

ชาไทยไม่ใส่สี
read more
25.06.2025 198

เทรนด์ชาไทยไม่ใส่สี: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย

แบรนด์ชั้นนำหลายแห่งประกาศผลิตชาไทยที่ไม่ใส่สี Sunset Yellow FCF ซึ่งเป็นสีสังเคราะห์ที่ทำให้ชาไทยดั้งเดิมมีสีส้มสดใส เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การแข่งขันของแบรนด์ชั้นนำ คาเฟ่ อเมซอน นำหน้าเปิดขาย คาเฟ่ อเมซอน ได้ประกาศตัวเป็น “เจ้าแรก” ที่ขายชาไทยไม่ใส่สี โดยเริ่มขายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2025 ภายใต้ชื่อ “Premium Thai Tea” ซึ่งคัดสรรใบชาอัสสัมคุณภาพดีจากจังหวัดน่าน ผ่านการเบลนด์สูตรพิเศษโดย Tea Master ให้รสชาติโทนวานิลลาหอมละมุน และหวานนุ่มแบบคาราเมลไลซ์ จำหน่ายในราคา 60 บาท ชาตรามือ เตรียมวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ชาตรามือ แบรนด์ชาไทยเก่าแก่กว่า 80 ปี เตรียมวางจำหน่าย “ชาไทยไม่ใส่สี” ภายในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยใช้สูตรดั้งเดิมที่ตัดสีสังเคราะห์ Sunset Yellow ออกทั้งหมด พร้อมเปิดตัวเมนูใหม่ “ชาไทยสีธรรมชาติ” ในไตรมาส 3 ซึ่งใช้สีผสมอาหารจากธรรมชาติ เช่น แครอท ในการแต่งเติมสี เหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง ปัญหาของสี Sunset Yellow FCF สี Sunset Yellow FCF เป็นสีผสมอาหารสังเคราะห์ที่ทำให้ชาไทยมีสีส้มสดใส อย่างไรก็ตาม สารนี้ถูกห้ามใช้หรือควบคุมการใช้ในหลายประเท […]

เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025
read more
20.06.2025 610

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2025: โอกาสและความท้าทายที่ต้องรู้

แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะมีสัญญาณการฟื้นตัวบางส่วน แต่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งความผันผวนของดีมานด์–ซัพพลายในแต่ละเซกเมนต์ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่างไรก็ตาม โครงการส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวจากภาครัฐได้ช่วยประคองตลาดในบางพื้นที่ให้ค่อย ๆ ฟื้นตัว ยอดพรีเซลของ 10 บริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในช่วงต้นปี 2025 อยู่ที่ 59,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) และ 7% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดย โครงการคอนโดมิเนียม เป็นกลุ่มที่ผลักดันยอดขายได้มากที่สุด มูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องรู้ในปี 2025 1. Digital Transformation & PropTech จากการวิเคราะห์และบริหารจัดการด้วยข้อมูลเรียลไทม์ ไปจนถึงการใช้ AI และ Big Data เพื่อคาดการณ์ความต้องการ — PropTech กลายเป็นเครื่องมือหลักในการแข่งขันและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น 2. Smart Home Living ตลาดสมาร์ทโฮมทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และกำลังเป็น มาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน โดยบริษัทไทยชั้นนำอย่าง แสนสิริ อนันดา และเอพี ต่างนำระบบอัจฉริยะเข้ามาในโครงการ 3. Green Bu […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง