Baramizi Lab logo

รู้จัก 9 เทรนด์ จากศาสตร์ “LIFESTYLE MEDICINE” ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันจากปรับวิถีชีวิต

รู้จัก 9 เทรนด์ จากศาสตร์ “LIFESTYLE MEDICINE” ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันจากปรับวิถีชีวิต

การดูแลสุขภาพที่เน้น “ป้องกัน” ไว้ก่อน..ดีกว่ามา “รักษา” ทีหลัง กำลังเป็นแนวคิดที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากกระแสความต้องการด้านการดูแลแบบครบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่ให้ความสำคัญทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ไปพร้อมกัน รวมถึงความต้องการที่จะลดอัตราการป่วยของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีทั้งหลายของเรา จึงทำให้ Lifestyle Medicine เป็นหนึ่งในศาสตร์การป้องกันที่น่าจับตามองในอนาคต

Lifestyle Medicine เป็นแนวคิดของการปรับวิถีชีวิตที่ไม่ได้อาศัยแค่ความร่วมมือของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยที่ตัวเราเองด้วยเช่นกันในการที่จะทำให้การปรับและเปลี่ยนพฤติกรรมในทั้ง 6 องค์ประกอบ ให้ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องและยั่งยืน

ซึ่งได้แก่ 1.การมีโภชนาการที่ดี 2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 3.การจัดการกับความเครียดและอารมณ์ 4.การนอนหลับที่มีคุณภาพ 5.ความสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้าง 6.การหลีกเลี่ยงสารอันตราย บุหรี่และแอลกอฮอลล์.

โดยการให้ความสำคัญกับการดูแลองค์ประกอบเหล่านี้ในชีวิต ทำให้ศาสตร์ทางการแพทย์อย่าง “Lifestyle Medicine” หรือ “เวชศาสตร์วิถีชีวิต” มีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายมิติชีวิตของผู้คนและสังคมมากขึ้น

เริ่มตั้งแต่ช่วยให้ผู้คนสามารถปรับพฤติกรรม เพื่อให้ห่างไกลโรค ไปจนถึงช่วยลดภาระของระบบสนับสนุนบริการทางการแพทย์ในสังคม จากโอกาสที่จะช่วยทำให้ผู้คนสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ  เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ข้อมูลว่าปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรคเหล่านี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมของเราเอง ตั้งแต่ทานอาหารที่ไม่ดี, การขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงเรื่องของความเครียด

ทางข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) ได้ทำการคาดการณ์แนวโน้มเทรนด์แห่งอนาคต ที่เป็นผลเกี่ยวข้องกับการปรับและดูแล WELLBEING LIFESTYLE มาได้ทั้งหมด 9 เทรนด์ ได้แก่

1. Personalized Lifestyle Medicine: การดูแลวิถีชีวิตเฉพาะบุคคล 

ความก้าวหน้าในการตรวจประเมินทางชีวภาพ (Biomarkers) และกลยุทธ์การขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่แม่นยำ (Data-Driven) จะช่วยทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อการแพทย์มากขึ้น โดยสามารถช่วยในการพิจารณาลักษณะทางพันธุกรรม นิสัยการใช้ชีวิต และสถานะสุขภาพของคนไข้แต่ละบุคคล ซึ่งตอบโจทย์ความแตกต่างของแต่ละบุคคลมากที่สุด

2.Technology and Digital Health: นวัตกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพ

เหล่า Personal Devices อุปกรณ์สวมใส่ แอปพลิเคชัน รวมถึงโปรแกรมพัฒนาทักษะให้ความรู้ทางออนไลน์ จะยังคงถูกพัฒนามากยิ่งขึ้นและต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหา ติดตาม และสนับสนุนให้การปรับพฤติกรรมมีความต่อเนื่องและเห็นผลลัพธ์ที่ดี ถือเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาสนับสนุนเทรนด์ในเรื่อง Personalized Lifestyle Medicine ได้อย่างชัดเจน

3.Collaborative Care: การดูแลโดยร่วมมือจากทีมสหวิชาชีพ 

เวชศาสตร์การใช้ชีวิตเป็นสาขาสหสาขาวิชาชีพที่ต้องการความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ การบูรณาการที่มากขึ้นระหว่างสาขาวิชาเหล่านี้ถูกคาดหวังให้พัฒนามากยิ่งขึ้น เพื่อการมอบแนวทางด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมของผู้คนในสังคม

4.Workplace Wellness: การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ดีในที่ทำงาน

โปรแกรมสุขภาพที่ดีในออฟฟิศจะถูกพัฒนาต่อเนื่องและมีความเฉพาะตัวมากขึ้น จากสาเหตุของโรคภัยเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น องค์กรทั้งหลายจึงลงทุนด้านสุขภาพในสถานที่ทำงานเพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังในกลุ่มพนักงาน

5.Social Determinants of Health and Health Equity: ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพและความเสมอภาคทางสุขภาพ

ปัจจัยที่กำหนดทางสังคมของสุขภาพ เช่น ความยากจน ที่อยู่อาศัย การศึกษา และการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย เป็นเรื่องที่ทางเวชศาสตร์วิถีชีวิต Lifestyle Medicine ต้องเกี่ยวข้องและจัดการอยู่แล้ว เพราะโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน ส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

ศาสตร์นี้จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมด้านสุขภาพและลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ เพราะทำให้ทุกคนได้รับการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่จำเป็นสำหรับการมีสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงเชื้อชาติ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพ จากการส่งเสริมให้คนเข้าถึงเครื่องมือและความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ยั่งยืน

6.The Military and Lifestyle Medicine: เวชศาสตร์วิถีชีวิตกับการทหาร

เวชศาสตร์วิถีชีวิตมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพและความพร้อมของเหล่ากำลังพลทหารและสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในกองทัพได้.

โดยกรณีตัวอย่าง:  กองทัพสหรัฐฯ ได้นำโมเดลนี้มาใช้เพื่อมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการนอนหลับ กิจกรรม และโภชนาการ ส่งผลต่อการเพิ่มความพร้อมและประสิทธิภาพของทหาร 

– กองทัพเรือสหรัฐฯ มีโครงการที่คล้ายกันที่เรียกว่า Navy Operational Fitness and Fueling System (NOFFS) ซึ่งจัดหาทรัพยากรและคำแนะนำแก่กะลาสีเรือในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการป้องกันการบาดเจ็บ

– กองทัพยังตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตซึ่งได้ดำเนินโครงการออกกำลังกายสำหรับทหารและครอบครัว เพื่อส่งเสริมความยืดหยุ่นและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์

– นอกจากนี้การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Military Medicine พบว่าการสอดแทรกรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น โปรแกรมการควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกาย สามารถนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลและปรับปรุงความพร้อมได้อย่างมาก

7.Lifestyle Medicine in Education: เวชศาสตร์วิถีชีวิตในระบบการศึกษา

การพัฒนาเวชศาสตร์วิถึชีวิตในด้านการศึกษาอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมความเท่าเทียมด้านสุขภาพ โดยอาศัยวิธีการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นแก่นักเรียนเพื่อให้ใช้ในการตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี 

-โดยกรณีตัวอย่าง:

– การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาหลักสูตรที่เป็นองค์รวมด้าน Lifestyle Medicine ทั้งหมดได้ โดยอาจจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการสนับสนุนทางสังคม และยังสามารถสอนนักเรียนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยการดำเนินชีวิตและโรคเรื้อรังให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย

– การฝึกอบรมสำหรับนักการศึกษา: การฝึกอบรมเพื่อนำ Lifestyle Medicine มาสามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพในหมู่นักเรียน และเป็นตัวอย่างการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพได้

– การบูรณาการเข้ากับหลักสูตรที่มีอยู่: Lifestyle Medicine สามารถบูรณาการเข้ากับหลักสูตรที่มีอยู่ได้ เช่น ชีววิทยา สุขศึกษา และพลศึกษา สิ่งนี้สามารถช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าปัจจัยการดำเนินชีวิตส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ได้อย่างไร

– การวิจัยและการประเมินผล: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสามารถทำการทดลองใช้ Lifestyle Medicine และประเมินประสิทธิผลได้ ซึ่งสิ่งนี้สามารถช่วยทำให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อการปรับพฤติกรรม 

8.Lifestyle Medicine in Healthcare Systems: เวชศาสตร์วิถีชีวิตในระบบการบริการดูแลสุขภาพ

การนำโปรแกรมเวชศาสตร์วิถีการดำเนินชีวิตมาใช้ในระบบสุขภาพอย่างต่อเนื่องจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ เพราะสามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมด้านสุขภาพได้จากการให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องของการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ซึ่งจะทำให้ทุกคนห่างไกลโรคมากขึ้น เท่าเทียมด้านสุขภาพมากขึ้นจากการมีองค์ความรู้เหล่านี้ที่สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้

– โดยกรณีตัวอย่างที่อาจทำได้:

– การสนับสนุนให้ความรู้แก่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพให้ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการให้การรักษาด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตแก่ผู้ป่วย

– บูรณาการเข้ากับการดูแลทางคลินิกโดยผสมผสานกับการประเมินสุขภาพตามปกติและแผนการรักษา 

– การพัฒนาโปรแกรม Lifestyle Medicine : ระบบสุขภาพสามารถพัฒนาโปรแกรมทั้งรายบุคคลและกลุ่ม ให้สามารถปรับได้เหมาะกับความต้องการของกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ

– การใช้เครื่องมือด้านสุขภาพแบบดิจิทัล : สามารถใช้เพื่อสนับสนุน Lifestyle Medicine ได้ เช่น แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ป่วยติดตามการออกกำลังกายหรือการรับประทานอาหารได้

– ระบบสุขภาพสามารถร่วมมือกับองค์กรชุมชนเพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ตัวอย่างเช่น ทำงานร่วมกับตลาดเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อจัดหาอาหารเพื่อสุขภาพ หรือร่วมมือกับศูนย์ออกกำลังกายเพื่อเสนอส่วนลดค่าสมาชิกยิม

– การประเมินผลลัพธ์: ระบบสุขภาพควรประเมินผลลัพธ์เพื่อพิจารณาประสิทธิผล และรับประกันได้ว่าจะมีการดำเนินการต่อเนื่อง 

9.New Research in Lifestyle Medicine: การพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต

ปัจจุบันงานวิจัยใหม่ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตกำลังค้นหาว่าวิธีการดำเนินชีวิตสามารถนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังและส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมได้อย่างไรบ้าง จากการทำความเข้าใจกลไกที่การแทรกอยู่ในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาและเข้าใจรูปแบบเหล่านั้นอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน

 

Key Takeaway

ทั้ง 9 เทรนด์เหล่านี้ เกิดขึ้นจากแนวโน้มความต้องการของผู้คนและสังคมปัจจุบันที่ให้ความสำคัญ กับการดูแลให้มีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ เริ่มตั้งแต่ (1) การให้ความสำคัญที่ตนเอง โดยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทุกมิติ (2) การให้องค์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง (3) การ R&D เพื่อหาแนวทางใหม่ ๆ (4) การกำหนดนโยบายที่เหมาะสม.

ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนับสนุนและผลักดันให้ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กลายเป็น…ยา” เข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คนอย่างทำได้จริง มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงยังสามารถทำให้เกิดเป็นโอกาสของภาคธุรกิจที่ทุกคนเลือกจุดยืนได้ว่าธุรกิจของเรามีโอกาสที่จะอยู่ส่วนไหนในขั้นการพัฒนาเหล่านี้ได้บ้าง

เรียบเรียง: กรภัทร คงโชคชัย

แหล่งอ้างอิง

https://globalwellnessinstitute.org/…/medical-wellness…/

https://www.bdmswellness.com/knowledge/lifestyle-medicine

https://www.bdmswellness.com/…/6-healthy-lifestyles-as…

https://www.bdmswellness.com/…/what-is-preventive-medicine

https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1117939

https://www.sdgmove.com/…/social-determinants-of…/

หนังสือ Future Trend Ahead 2024

#Lifestylemedicine #Health #baramizilab

RECOMMEND

สรุป Pinterest Predicts 2026
read more
19.12.2025 20

เจาะลึก Pinterest Predicts 2026: ถอดรหัส 4 กลยุทธ์ธุรกิจ เปลี่ยน “เทรนด์” ให้เป็น “ยอดขาย”

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว การรู้เทรนด์ก่อนคู่แข่งเพียงก้าวเดียว อาจหมายถึงส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล ล่าสุด Pinterest แพลตฟอร์มที่เปรียบเสมือน “ลูกแก้วพยากรณ์” ของโลกการตลาด ได้ปล่อยรายงาน Pinterest Predicts สำหรับปี 2026 ออกมาแล้ว ความน่าสนใจของรายงานนี้คือ Pinterest ไม่ได้วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่วิเคราะห์จาก “Search Intent” (เจตนาการค้นหา) ของผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการซื้อที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เราพบว่าปี 2026 จะไม่ใช่ปีแห่งความ “เรียบง่าย” หรือ “มินิมอล” อีกต่อไป แต่มันคือปีแห่งการแสดงออก (Expression), สัมผัส (Sensory), และการผสมผสาน (Hybrid) นี่คือ 4 กลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เราถอดรหัสมาจากเทรนด์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดนำไปปรับทิศทางแบรนด์ได้ทันที กลยุทธ์ที่ 1: Sensory Marketing – เอาชนะใจด้วย “ผิวสัมผัส” และ “สีสัน” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับความงามแบบ “Clean Girl Aesthetic” และงานดีไซน์แบบ “Flat Design […]

read more
18.12.2025 193

Classic or Create Christmas Tree เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส

เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส แม้เทศกาลคริสต์มาสจะไม่ได้มีต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมและอิทธิพลของเทศกาลได้แพร่กระจายไปแทบทุกมุมโลก “บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง” กลายเป็นกลิ่นอายที่พบได้ทั้งในเมืองใหญ่ ห้างสรรพสินค้า พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงพื้นที่ส่วนตัวอย่างบ้านและคอนโด ในบริบทของการออกแบบและตกแต่งที่อยู่อาศัย “ต้นคริสต์มาส” (หรือก็คือต้นส้น) ทำหน้าที่เป็น “พระเอก” ของงานนี้มาอย่างยาวนาน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงเทศกาลได้ทันที อย่างไรก็ตาม หากมองต้นคริสต์มาสในฐานะ “องค์ประกอบการออกแบบ” มากกว่าของประดับตามฤดูกาล คำถามสำคัญคือที่ผ่านมา และในอนาคต อะไรบ้างที่จะเข้ามากำหนดหน้าตาและบทบาทของมัน? แน่นอนว่าเรามักบอกว่าเลือกเพราะ “ความสวยงาม” แต่ความจริงแล้ว การเลือกนั้นมีระบบเศรษฐกิจ สภาพสังคม และค่านิยมร่วมสมัยซ่อนอยู่เสมอ ตั้งแต่รูปแบบการอยู่อาศัยในเมือง ความคุ้มค่าและต้นทุนที่ผันผวน ตามข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณการค้าระหว่างประเทศโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีแรงขับเ […]

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
read more
05.12.2025 1,132

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)​ บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า 1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตั […]

NEO Luxury Trend
read more
02.12.2025 356

NEO Luxury Trend
ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
แต่คือประสบการณ์

ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่ “ของ” แต่คือ “ประสบการณ์ คุณค่า และความหมาย” โลกของ Luxury กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 ไม่ได้ถูกนิยามด้วยโลโก้หรือสัญลักษณ์สถานะอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความ เข้าใจตัวตน คุณค่าชีวิต และความตั้งใจในการเลือกบริโภค (Intentional Consumption) มากกว่าที่เคย ผู้บริโภคกลุ่ม Luxury โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ไม่ได้มองความหรูในฐานะการแสดงความมั่งคั่ง แต่มองว่า Luxury คือ “คุณภาพของชีวิต” และ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ที่พวกเขาเลือกลงทุนอย่างตั้งใจ ทำให้เกิดแนวคิด NEO Luxury – New Luxury Paradigm ที่ผสมผสานความยั่งยืน เทคโนโลยี ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และหัตถศิลป์เข้าด้วยกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 หลักการสำคัญที่กำลังกำหนดความหมายใหม่ของ Luxury ในปี 2025 1. Quiet Luxury: ความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ซ่อนความเข้าใจลึกซึ้งในคุณภาพ Quiet Luxury กลายเป็นตัวแทนของความหรูยุคนี้อย่างแท้จริง เพราะผู้บริโภคไม่ได้ต้องการประกาศความร่ำรวย แต่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน และบ่งบอกตัวตนกับคนที่ “เข้าใจจริง” ลักษณะเด่นของ Quiet Luxury คุณภาพเหนือปริมาณ: เลือกสินค้าชิ้นสำคัญแทนกา […]

read more
19.11.2025 771

ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่

สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์ ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience) Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง