Baramizi Lab logo

เจาะลึก Pinterest Predicts 2026: ถอดรหัส 4 กลยุทธ์ธุรกิจ เปลี่ยน “เทรนด์” ให้เป็น “ยอดขาย”

สรุป Pinterest Predicts 2026

เจาะลึก Pinterest Predicts 2026: ถอดรหัส 4 กลยุทธ์ธุรกิจ เปลี่ยน “เทรนด์” ให้เป็น “ยอดขาย”

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว การรู้เทรนด์ก่อนคู่แข่งเพียงก้าวเดียว อาจหมายถึงส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล

ล่าสุด Pinterest แพลตฟอร์มที่เปรียบเสมือน “ลูกแก้วพยากรณ์” ของโลกการตลาด ได้ปล่อยรายงาน Pinterest Predicts สำหรับปี 2026 ออกมาแล้ว ความน่าสนใจของรายงานนี้คือ Pinterest ไม่ได้วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่วิเคราะห์จาก “Search Intent” (เจตนาการค้นหา) ของผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการซื้อที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เราพบว่าปี 2026 จะไม่ใช่ปีแห่งความ “เรียบง่าย” หรือ “มินิมอล” อีกต่อไป แต่มันคือปีแห่งการแสดงออก (Expression), สัมผัส (Sensory), และการผสมผสาน (Hybrid)

นี่คือ 4 กลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เราถอดรหัสมาจากเทรนด์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดนำไปปรับทิศทางแบรนด์ได้ทันที

กลยุทธ์ที่ 1: Sensory Marketing – เอาชนะใจด้วย “ผิวสัมผัส” และ “สีสัน”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับความงามแบบ “Clean Girl Aesthetic” และงานดีไซน์แบบ “Flat Design” ที่เน้นความเรียบแบน แต่ในปี 2026 ผู้บริโภคกำลังโหยหา “Texture” หรือผิวสัมผัสที่จับต้องได้จริง

เทรนด์ ‘Gimme Gummy’ (ความหนึบหนับแบบเจลลี่) และ ‘Laced Up’ (ผ้าลูกไม้) สะท้อนให้เห็นว่า ผู้คนต้องการสินค้าที่มีมิติ มีความนูน ความเด้ง หรือความละเอียดของงานฝีมือ ในขณะที่ ‘Cool Blue’ หรือสีฟ้าน้ำแข็ง จะเข้ามาแทนที่สีเอิร์ธโทนที่เริ่มน่าเบื่อ

โอกาสทางธุรกิจ:

  • Product Design & Packaging: หากคุณขายสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG), Gadget หรือเครื่องสำอาง ถึงเวลาต้อง R&D บรรจุภัณฑ์ใหม่ ลองใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัส (Soft Touch), การเคลือบนูน (Emboss), หรือวัสดุกึ่งโปร่งแสงสีสดใสแบบ Jelly เพื่อดึงดูดสายตาและกระตุ้นให้ลูกค้าอยาก “หยิบจับ”
  • Visual Merchandising: การจัดหน้าร้านหรือการถ่ายภาพสินค้า ต้องเน้นให้เห็น Texture ชัดเจน แสงเงาต้องขับเน้นความนูน ความลึก เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงสินค้าได้แม้ผ่านหน้าจอ

กลยุทธ์ที่ 2: The Art of Upselling – ขายความเป็น “Artist” ให้ลูกค้า

พฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ในปี 2026 จะปฏิเสธความเป็น Mass Product มากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการ “เหมือนใคร” แต่ต้องการเป็น “ผู้กำหนดเอง”

เทรนด์ ‘Scent Stacking’ (การเลเยอร์น้ำหอม) คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ลูกค้าไม่ได้ต้องการน้ำหอมกลิ่นสำเร็จรูปเพียงขวดเดียว แต่ต้องการวัตถุดิบเพื่อนำไปผสมสร้างกลิ่น Signature ของตัวเอง หรือเทรนด์ ‘Poetcore’ ที่เน้นสไตล์เฉพาะตัวแบบนักกวี ก็สะท้อนถึงการโหยหาอัตลักษณ์ที่ลึกซึ้ง

โอกาสทางธุรกิจ:

  • Hyper-Personalization: เลิกขายสินค้าแบบ Single Piece แล้วหันมาทำ “DIY Kit” หรือ “Curated Bundle” แทน เช่น แบรนด์บิวตี้ควรขายเซตลิปสติกที่ผสมสีเองได้ หรือเซตน้ำหอมไซส์มินิ 3 กลิ่นที่ออกแบบมาให้ฉีดทับกันได้
  • Storytelling Marketing: สินค้าของคุณต้องมีเรื่องราว อย่าแค่ขาย “เสื้อ” แต่ให้ขาย “จิตวิญญาณของนักเขียน” (ตามเทรนด์ Poetcore) การเขียน Copywriting จะต้องลึกซึ้งและมีเสน่ห์ดึงดูดทางอารมณ์มากขึ้น

กลยุทธ์ที่ 3: Nostalgia & Human Touch – กลับสู่ความคลาสสิกในยุค AI

ยิ่งโลกหมุนไปสู่ AI และ Digital มากเท่าไหร่ มนุษย์ยิ่งโหยหา “Analog Touch” มากเท่านั้น

การกลับมาของเทรนด์ ‘Glamoratti’ (ความหรูหรายุค 80s), ‘Brooched’ (เข็มกลัดวินเทจ), และ ‘Pen Pals’ (เพื่อนทางจดหมาย) คือปฏิกิริยาโต้กลับ (Counter-trend) ต่อความรวดเร็วของเทคโนโลยี คนเริ่มมองหาสิ่งที่ช้าลง ประณีตขึ้น และมีความทรงจำ

โอกาสทางธุรกิจ:

  • Unboxing Experience: สำหรับธุรกิจ E-commerce นี่คือไม้ตาย การแนบ “การ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือ” (Handwritten Note) หรือการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับจดหมายจากเพื่อน จะสร้าง Customer Loyalty ได้มหาศาลในยุคที่ทุกอย่างเป็นข้อความอัตโนมัติ
  • Niche Market for Men: จับตาดูตลาดแฟชั่นผู้ชายให้ดี การที่ผู้ชายหันมาติดเข็มกลัด (Brooched) แสดงถึงความกล้าในการแต่งตัวที่มากขึ้น แบรนด์เสื้อผ้าควรขยายไลน์ Accessories สำหรับผู้ชายเพื่อรองรับ Demand นี้

กลยุทธ์ที่ 4: Experience Economy – พื้นที่ต้อง “สนุก” และ “ตะโกน”

หมดยุค “Sad Beige” หรือการตกแต่งร้านสไตล์มินิมอลสีครีมที่ดูจืดชืด ปี 2026 คือปีของ ‘FunHaus’ (สไตล์ละครสัตว์) และ ‘Neo Deco’ (ความหรูหรารูปทรงเรขาคณิต)

ลูกค้าจะยอมจ่ายเงินและเสียเวลาเดินทางไปในสถานที่ที่มอบ “ประสบการณ์ทางสายตา” ที่แปลกใหม่ สนุกสนาน และถ่ายรูปได้สวยแบบไม่ซ้ำใคร

โอกาสทางธุรกิจ:

  • Offline Retail & Cafe: หากคุณกำลังจะรีโนเวทร้าน อย่ากลัวที่จะใช้สีสันที่ตัดกัน (Contrast), ลายทางขาว-ดำ, หรือเฟอร์นิเจอร์รูปทรงแปลกประหลาด ความ “แปลก” จะกลายเป็น Magnet ดึงดูดลูกค้าให้มา Check-in
  • Luxury Positioning: สำหรับสินค้า High-ticket การใช้ดีไซน์แบบ Neo Deco (โครเมียม, ทองเหลือง, เส้นสายเรขาคณิต) จะช่วยอัปเกรดภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดู Modern Luxury และขายได้ในราคาที่สูงขึ้น

บทสรุป: ก้าวต่อไปของแบรนด์

Pinterest Predicts 2026 กำลังบอกเราว่า ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่ “สินค้า” อีกต่อไป แต่พวกเขาต้องการ:

  1. สัมผัส ที่แตกต่าง (Tactile)
  2. ตัวตน ที่เลือกเองได้ (Personalized)
  3. ความทรงจำ ที่จับต้องได้ (Analog)
  4. ความสนุก ที่หลุดกรอบ (Expressive)

คำถามสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจในวันนี้ไม่ใช่ “เราจะตามเทรนด์ไหนดี?” แต่คือ “เราจะปรับสินค้าและบริการที่มีอยู่ ให้ตอบโจทย์ความต้องการลึกๆ เหล่านี้ได้อย่างไร?”

บทความโดย : ภูชิต มุณีวงศ์ (Future Trend Researcher)

อ้างอิงจาก : https://business.pinterest.com/en-gb/pinterest-predicts/


บทความเทรนด์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

RECOMMEND

สรุป Pinterest Predicts 2026
read more
19.12.2025 10

เจาะลึก Pinterest Predicts 2026: ถอดรหัส 4 กลยุทธ์ธุรกิจ เปลี่ยน “เทรนด์” ให้เป็น “ยอดขาย”

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว การรู้เทรนด์ก่อนคู่แข่งเพียงก้าวเดียว อาจหมายถึงส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล ล่าสุด Pinterest แพลตฟอร์มที่เปรียบเสมือน “ลูกแก้วพยากรณ์” ของโลกการตลาด ได้ปล่อยรายงาน Pinterest Predicts สำหรับปี 2026 ออกมาแล้ว ความน่าสนใจของรายงานนี้คือ Pinterest ไม่ได้วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่วิเคราะห์จาก “Search Intent” (เจตนาการค้นหา) ของผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการซื้อที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เราพบว่าปี 2026 จะไม่ใช่ปีแห่งความ “เรียบง่าย” หรือ “มินิมอล” อีกต่อไป แต่มันคือปีแห่งการแสดงออก (Expression), สัมผัส (Sensory), และการผสมผสาน (Hybrid) นี่คือ 4 กลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เราถอดรหัสมาจากเทรนด์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดนำไปปรับทิศทางแบรนด์ได้ทันที กลยุทธ์ที่ 1: Sensory Marketing – เอาชนะใจด้วย “ผิวสัมผัส” และ “สีสัน” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคุ้นชินกับความงามแบบ “Clean Girl Aesthetic” และงานดีไซน์แบบ “Flat Design […]

read more
18.12.2025 141

Classic or Create Christmas Tree เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส

เศรษฐกิจ ธุรกิจ พฤติกรรม ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของต้นคริสต์มาส แม้เทศกาลคริสต์มาสจะไม่ได้มีต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมและอิทธิพลของเทศกาลได้แพร่กระจายไปแทบทุกมุมโลก “บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง” กลายเป็นกลิ่นอายที่พบได้ทั้งในเมืองใหญ่ ห้างสรรพสินค้า พื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงพื้นที่ส่วนตัวอย่างบ้านและคอนโด ในบริบทของการออกแบบและตกแต่งที่อยู่อาศัย “ต้นคริสต์มาส” (หรือก็คือต้นส้น) ทำหน้าที่เป็น “พระเอก” ของงานนี้มาอย่างยาวนาน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงเทศกาลได้ทันที อย่างไรก็ตาม หากมองต้นคริสต์มาสในฐานะ “องค์ประกอบการออกแบบ” มากกว่าของประดับตามฤดูกาล คำถามสำคัญคือที่ผ่านมา และในอนาคต อะไรบ้างที่จะเข้ามากำหนดหน้าตาและบทบาทของมัน? แน่นอนว่าเรามักบอกว่าเลือกเพราะ “ความสวยงาม” แต่ความจริงแล้ว การเลือกนั้นมีระบบเศรษฐกิจ สภาพสังคม และค่านิยมร่วมสมัยซ่อนอยู่เสมอ ตั้งแต่รูปแบบการอยู่อาศัยในเมือง ความคุ้มค่าและต้นทุนที่ผันผวน ตามข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณการค้าระหว่างประเทศโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีแรงขับเ […]

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
read more
05.12.2025 1,072

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)​ บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า 1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตั […]

NEO Luxury Trend
read more
02.12.2025 344

NEO Luxury Trend
ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
แต่คือประสบการณ์

ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่ “ของ” แต่คือ “ประสบการณ์ คุณค่า และความหมาย” โลกของ Luxury กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 ไม่ได้ถูกนิยามด้วยโลโก้หรือสัญลักษณ์สถานะอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความ เข้าใจตัวตน คุณค่าชีวิต และความตั้งใจในการเลือกบริโภค (Intentional Consumption) มากกว่าที่เคย ผู้บริโภคกลุ่ม Luxury โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ไม่ได้มองความหรูในฐานะการแสดงความมั่งคั่ง แต่มองว่า Luxury คือ “คุณภาพของชีวิต” และ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ที่พวกเขาเลือกลงทุนอย่างตั้งใจ ทำให้เกิดแนวคิด NEO Luxury – New Luxury Paradigm ที่ผสมผสานความยั่งยืน เทคโนโลยี ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และหัตถศิลป์เข้าด้วยกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 หลักการสำคัญที่กำลังกำหนดความหมายใหม่ของ Luxury ในปี 2025 1. Quiet Luxury: ความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ซ่อนความเข้าใจลึกซึ้งในคุณภาพ Quiet Luxury กลายเป็นตัวแทนของความหรูยุคนี้อย่างแท้จริง เพราะผู้บริโภคไม่ได้ต้องการประกาศความร่ำรวย แต่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน และบ่งบอกตัวตนกับคนที่ “เข้าใจจริง” ลักษณะเด่นของ Quiet Luxury คุณภาพเหนือปริมาณ: เลือกสินค้าชิ้นสำคัญแทนกา […]

read more
19.11.2025 768

ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่

สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์ ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience) Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง