Baramizi Lab logo

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)

บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า

1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง

ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตัดสินใจทางการตลาดได้ด้วยตัวเอง

การประยุกต์ใช้ในไทย:

  • AI-Powered Personalization: แบรนด์อย่าง Central Group ใช้ AI แนะนำสินค้าตามประวัติการค้นหาและพฤติกรรม เพิ่มอัตราการแปลงลูกค้า
  • Chatbots บน LINE: LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักในไทยด้วยผู้ใช้ 56 ล้านคน (78% ของประชากร) แบรนด์ใช้ AI chatbot ตอบคำถาม แนะนำสินค้า และประมวลผลคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์
  • Dynamic Advertising: Facebook Ads และ Google Ads ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อปรับโฆษณาให้เหมาะกับผู้ชมไทยในแต่ละภูมิภาค

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์:

ธุรกิจไทยควรลงทุนในเครื่องมือ AI ที่เชื่อมต่อกับ CRM และระบบอื่นๆ เช่น HubSpot AI, ChatGPT, หรือ LINE AI Assistant และต้องให้ความสำคัญกับการเก็บรวบรวม First-party Data เพื่อป้อน AI ให้ทำงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น

2. Social Commerce Dominance: การช้อปผ่านโซเชียลกลายเป็นวิถีชีวิต

Social Commerce ในไทยไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “วิถีชีวิต” ของผู้บริโภคไทยแล้ว ข้อมูลแสดงว่า 69% ของผู้บริโภคไทยซื้อของผ่านโซเชียลมีเดียเป็นประจำ โดย 72% ของผู้หญิงและ 61% ของผู้ชายซื้อของผ่านโซเชียลมากกว่า 6 ครั้งต่อปี ตลาด Social Commerce ในไทยมีมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง

แพลตฟอร์มหลักในไทย:

  • TikTok: นำโด่งด้าน Social Commerce ด้วยฐานผู้ใช้ 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) และเป็นแพลตฟอร์ม Social Commerce ยอดนิยมอันดับ 1
  • Facebook & Instagram: Facebook ครองตลาด 51.5 ล้านบัญชีโฆษณา ขณะที่ Instagram มี 23.4 ล้านผู้ใช้ ทั้งสองแพลตฟอร์มนำเสนอ Shoppable Posts และ Facebook Live Commerce
  • LINE Shopping: ให้แบรนด์สร้างร้านค้าภายในแอป LINE ทำให้ผู้ใช้สามารถช้อปปิ้งขณะแชทกับเพื่อนได้

กลยุทธ์ที่ได้ผล:

  • ร่วมมือกับ Thai Influencers ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
  • จัด Live Shopping Events บน Lazada, Shopee และ Facebook เพื่อสร้าง Engagement
  • ใช้ Social Proof เช่น Reviews และ User-Generated Content เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

3. Short-Form Video Marketing: วิดีโอสั้นครองใจผู้บริโภค

คนไทยใช้เวลาดูวิดีโอออนไลน์ถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน และ Short-Form Video กลายเป็นฟอร์แมตที่มี Engagement สูงที่สุด โดย TikTok เข้ามาแซง YouTube ในส่วนแบ่งโฆษณา (16%) ผู้บริโภคต้องการคอนเทนต์ที่รวดเร็ว สนุก และสื่อสารได้ตรงประเด็น

Case Study:

  • แบรนด์อาหารเสริมสุขภาพใช้วิดีโอ Before-After แบบ 30 วินาทีบน TikTok ลด CPA ลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับโฆษณาบน Facebook
  • แบรนด์ญี่ปุ่นด้านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวร่วมมือกับ Nano Influencer ในไทยสร้างวิดีโอบน TikTok และสามารถลด CPA ลง 60%

คำแนะนำ:

  • สร้างวิดีโอที่เน้น Storytelling มากกว่าการขายตรง
  • ใช้คำบรรยาย (Subtitles) เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ดูวิดีโอโดยไม่เปิดเสียง
  • ปรับคอนเทนต์ให้เหมาะกับมือถือ (Mobile-First)
  • ทดลองใช้ Reels (Instagram), YouTube Shorts และ TikTok ควบคู่กันเพื่อเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้น

4. Influencer Marketing Evolution: ยุค Micro & Nano Influencers

การตลาดผ่าน Influencer ในไทยปี 2026 จะเน้นที่ความ “จริงใจ” (Authenticity) มากกว่าจำนวนผู้ติดตาม ตลาด Influencer Marketing ในไทยคาดว่าจะโตเป็น 2.36 พันล้านบาทในปี 2024 และเติบโต 10.24% ต่อปีจนถึง 2029

การเปลี่ยนแปลงสำคัญ:

  • Micro Influencers (10K-100K) และ Nano Influencers (1K-10K) มี Engagement Rate สูงกว่า Mega Influencers ถึง 3 เท่า
  • Nano Influencer มี Engagement Rate 5.8% เทียบกับ Mega Influencer ที่มีเพียง 1.9%
  • แบรนด์เริ่มกระจายงบไปหลาย Micro/Nano แทนการใช้ Macro คนเดียว เพราะได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่า

ต้นทุนและ ROI:

ระดับ Influencerค่าตอบแทนต่อโพสต์ (USD)เหมาะสำหรับ
Nano (1K-10K)$25-$100SME, UGC-style
Micro (10K-100K)$100-$500แคมเปญระดับภูมิภาค
Macro (100K-1M)$500-$2,000เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
Mega (1M+)$2,000+สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง

แนวทางที่ประสบความสำเร็จ:

  • เลือก Influencer ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
  • ใช้ Content Creators ในหมวดหมู่ News, Family และ Pet ที่กำลังเติบโต
  • วัดผลด้วย Trackable Links, Influencer-Specific Codes หรือ Affiliate Programs

5. Voice Search & AI SEO: การค้นหาด้วยเสียงเติบโตรวดเร็ว

การค้นหาแบบพิมพ์ตัวอักษรจะลดลงถึง 25% ในปี 2025-2026 และถูกแทนที่ด้วย Voice Search และ AI-powered Search ผู้บริโภคไทยเริ่มใช้ LINE Voice, Google Assistant และ AI Chatbot ค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาในท้องถิ่น (Local Search)

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง:

  • เดิม: “ร้านกาแฟ สยาม” (3 คำ)
  • ปัจจุบัน: “ร้านกาแฟแถวสยามที่มีปลั๊กและเงียบ” (8+ คำ, แบบสนทนา)

กลยุทธ์ Voice Search Optimization:

  1. คิดแบบบทสนทนา: ใช้ Long-tail Conversational Keywords เช่น “จะเลือกร้านทำเล็บแถวทองหล่อที่ไหนดี?”
  2. สร้างหน้า FAQ: ตอบคำถามที่ผู้ใช้มักถามในรูปแบบภาษาพูด
  3. ใช้ Schema Markup: ช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างข้อมูลและเลือกเว็บไซต์คุณเป็น “อันดับศูนย์” (Position Zero)
  4. เน้น Local SEO: อัปเดต Google Business Profile ให้มีข้อมูลครบถ้วนและรีวิวที่ดีyoutube​
  5. Mobile-Friendly & Fast Loading: ความเร็วเป็นหัวใจของ Voice Search

ข้อควรระวัง:Voice Search มักให้คำตอบเพียงหนึ่งเดียว หากไม่ใช่อันดับแรก คุณจะแทบไม่มีตัวตนในการค้นหาด้วยเสียง

6. Sustainability Marketing: จากคำสัญญาว่างเปล่าสู่คุณค่าที่จับต้องได้

ผู้บริโภคไทยมากกว่า 60% ชอบแบรนด์ที่สอดคล้องกับคุณค่าด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ยุคของ “คำมั่นสัญญาแบบคลุมเครือ” เกี่ยวกับความยั่งยืนได้สิ้นสุดลงแล้วในปี 2026 แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นการให้ “คุณค่าที่จับต้องได้” (Tangible Value) แทนการพูดแค่ “ช่วยโลก”

การเปลี่ยนแปลง:

  • แทนที่จะพูดว่า “เราช่วยโลก” แบรนด์จะเน้นผลประโยชน์ที่วัดได้ เช่น ความทนทาน (Durability) และประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency)
  • ผู้บริโภคต้องการความโปร่งใส (Transparency) ไม่ใช่แค่การ “Greenwashing”
  • กฎระเบียบด้าน ESG และความยั่งยืนเข้มงวดขึ้น

แนวทางสำหรับแบรนด์ไทย:

  • สื่อสารผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบเฉพาะเจาะจง เช่น “ลดพลาสติก 30%” แทน “รักษ์โลก”
  • นำเสนอ Product Benefits ที่ชัดเจน เช่น “ใช้ได้นาน 10 ปี” หรือ “ประหยัดไฟ 40%”
  • ร่วมมือกับ Community และสร้าง Local Partnership

ธุรกิจที่มาแรง:
การท่องเที่ยวคุณภาพ, ธุรกิจสุขภาพและบริการสุขภาพ, และธุรกิจเกษตรและไบโอเทคจะเป็นโอกาสทางการตลาดในปี 2026

7. Omnichannel Experience: การเชื่อมต่อทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ

ผู้บริโภคไทยใช้ Social Media เฉลี่ย 7 แพลตฟอร์มต่อเดือน และสลับไปมาระหว่าง Facebook, LINE, WhatsApp, Shopee และ Lazada อย่างต่อเนื่อง การสร้าง Omnichannel Experience ที่สอดคล้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ข้อมูลสนับสนุน:

  • ลูกค้า Omnichannel ใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าช่องทางเดียว 30% และมี Lifetime Value สูงกว่า 30%
  • แบรนด์ที่สร้าง Cross-channel Presence ได้ดี มี Customer Retention 89% เทียบกับแบรนด์ที่กระจัดกระจาย 33%

เทคโนโลยีและกลยุทธ์:

  • HubSpot CRM + LINE Integration: เชื่อมต่อ LINE Official Account, Facebook, Shopee, Lazada เข้ากับ CRM เดียว
  • AI-Powered Personalization: ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก LINE CRM ส่งข้อความที่ตรงเป้า
  • Click & Collect: สั่งออนไลน์ รับที่ร้าน
  • Real-time Inventory Management: อัปเดตสต็อกทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบเรียลไทม์

4 Omnichannel Trends 2026:

  1. Mobile-First Design: 139% ของประชากรมีการเชื่อมต่อมือถือ
  2. Flexible Fulfillment: สั่งออนไลน์ รับหน้าร้าน หรือจัดส่งด่วน
  3. Personalized Campaign: โปรโมชั่นเฉพาะสาขาและการแจ้งเตือนตามเส้นทางซื้อของแต่ละคน
  4. Seamless Payment: PromptPay และ E-wallets เป็น Payment Methods หลัก

8. Live Commerce & Conversational Commerce: การสนทนาคือการซื้อขาย

Live Commerce:
Live Shopping บน TikTok Live, Facebook Live และ Shopee Live กลายเป็นวิถีใหม่ของการช้อปปิ้งในไทย แบรนด์อย่าง KFC Thailand, Shopee และ Lazada จัด Live Shopping Events ที่ผสมผสานความบันเทิงกับการพาณิชย์

Conversational Commerce:
ตลาด Conversational Commerce ในไทยจะเติบโต 22.2% ต่อปีและมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 คาดว่าจะขยายเป็น 33.8 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 การสนทนาผ่าน Chatbots, Messaging Apps (LINE, Facebook Messenger) และ Voice Assistants จะกลายเป็นช่องทางซื้อขายหลัก

ประโยชน์:

  • ลดขั้นตอนการซื้อ (Frictionless Shopping)
  • สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการสาธิตสินค้าแบบเรียลไทม์
  • เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Interactive Features

แนวทาง:

  • ใช้ AI Chatbot บน LINE และ Facebook Messenger เพื่อตอบคำถามและแนะนำสินค้า
  • จัด Live Demo โดย Influencers พร้อม Q&A Session
  • สร้าง QR Code บนบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงไปยัง Live Shopping

9. Data Privacy & First-Party Data Strategy: ยุคหลัง Cookies

ภายในปี 2026 นักการตลาดมากกว่า 72% ทั่วโลกจะปรับกลยุทธ์ไปสู่ Privacy-first Data Models และ 92% ของนักการตลาดบอกว่า First-party Data “มีค่ามากกว่าที่เคย” การสิ้นสุดของ Third-party Cookies บังคับให้แบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บและใช้ข้อมูลลูกค้า

กฎหมายในไทย:

  • กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) บังคับให้แบรนด์ต้องมีความโปร่งใสในการเก็บข้อมูล
  • ต้องระบุ #sponsored หรือ #ad ในภาษาไทยสำหรับความร่วมมือกับ Influencers

กลยุทธ์ Privacy-Centric Marketing:

  1. ตรวจสอบ Data Practices ปัจจุบัน: วิเคราะห์ว่าเก็บข้อมูลอะไรและใช้อย่างไร
  2. สร้างระบบ First-Party Data: ใช้ CRM, Email Marketing และ LINE Official Account รวบรวมข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า
  3. ลงทุนใน Privacy Tech: เครื่องมือที่ช่วยจัดการข้อมูลตาม GDPR และ PDPA
  4. ปรับ KPIs: วัดผลจากคุณภาพของ Engagement แทนแค่ Reach
  5. ความร่วมมือระหว่าง Marketing, Legal & Tech: สร้าง Alignment เพื่อให้มั่นใจว่าปฏิบัติตามกฎหมาย

10. Customer Experience 2026: ความเร็ว + ความเป็นส่วนตัว + Empathy

ลูกค้า 73% จะเปลี่ยนไปหาแบรนด์คู่แข่งทันทีหากเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีหลายครั้ง และกว่า 50% จะเลิกสนับสนุนแบรนด์หลังพบประสบการณ์แย่เพียงครั้งเดียว ผู้บริโภคไทยคาดหวัง “การตอบสนองทันที” โดย 90% ต้องการคำตอบภายใน 10 นาที

5 องค์ประกอบหลักของ CX 2026:

  1. Hyper-Personalization:
  • 71% ของผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์เฉพาะบุคคล และ 76% จะรู้สึกหงุดหงิดหากไม่ได้รับ
  • ใช้ AI และข้อมูล CRM สร้างคำแนะนำสินค้าและโปรโมชั่นส่วนตัว
  1. Speed & Real-time Response:
  • ใช้ AI Chatbot ตอบคำถามพื้นฐานทันที ขณะที่ทีมบริการลูกค้ารับมือเรื่องซับซ้อน
  • ตอบสนองภายใน 10 นาทีเพื่อลดความหงุดหงิดและลด Negative Reviews บนโซเชียล
  1. Empathy & Human Touch:
  • แม้จะใช้ AI แต่ลูกค้ายังคงต้องการความเห็นอกเห็นใจและการบริการที่เป็นมนุษย์
  • ฝึกทีมงานให้รับฟังปัญหาลูกค้าอย่างตั้งใจและใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร
  1. Omnichannel Consistency:
  • การสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและสอดคล้องทุกช่องทาง (ร้านค้า, เว็บไซต์, โซเชียล, LINE)
  • Customer Journey Mapping เพื่อระบุ “Moment of Truth”
  1. Proactive Service:
  • ใช้ข้อมูลลูกค้าคาดเดาความต้องการและเสนอความช่วยเหลือก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ
  • ตั้ง Voice of Customer (VoC) Feedback Loop ส่งข้อมูลไปยังทีมผลิตภัณฑ์เพื่อปรับปรุงทันที

Metrics ที่ต้องวัด:

  • Net Promoter Score (NPS): วัดความพึงพอใจและความภักดี
  • Customer Effort Score (CES): วัดความยากง่ายในการใช้บริการ
  • First Contact Resolution (FCR): วัดความสามารถแก้ปัญหาในครั้งแรก
  • Average Resolution Time: วัดความรวดเร็วในการแก้ปัญหา

บทสรุป

ปี 2026 เป็นปีที่นักการตลาดไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและจริงจัง จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาเทคโนโลยี AI และความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้า แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่สามารถผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและมนุษยธรรม ความเร็วและความใส่ใจ รวมถึงการสร้างคุณค่าที่จับต้องได้แทนคำสัญญาว่างเปล่า

สามคำสำคัญที่สรุปการตลาดไทย 2026 คือ: AI, ความยั่งยืน และความคล่องตัว ธุรกิจที่สามารถนำเทรนด์เหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทไทย จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

บทความโดย : ภูชิต มุณีวงศ์ (Future Trend Researcher)


บทความเทรนด์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

RECOMMEND

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
read more
05.12.2025 29

10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย

ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)​ บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า 1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตั […]

NEO Luxury Trend
read more
02.12.2025 74

NEO Luxury Trend
ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่แค่สิ่งของ
แต่คือประสบการณ์

ความหรูยุคใหม่ไม่ใช่ “ของ” แต่คือ “ประสบการณ์ คุณค่า และความหมาย” โลกของ Luxury กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025 ไม่ได้ถูกนิยามด้วยโลโก้หรือสัญลักษณ์สถานะอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความ เข้าใจตัวตน คุณค่าชีวิต และความตั้งใจในการเลือกบริโภค (Intentional Consumption) มากกว่าที่เคย ผู้บริโภคกลุ่ม Luxury โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ไม่ได้มองความหรูในฐานะการแสดงความมั่งคั่ง แต่มองว่า Luxury คือ “คุณภาพของชีวิต” และ “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ที่พวกเขาเลือกลงทุนอย่างตั้งใจ ทำให้เกิดแนวคิด NEO Luxury – New Luxury Paradigm ที่ผสมผสานความยั่งยืน เทคโนโลยี ประสบการณ์เฉพาะบุคคล และหัตถศิลป์เข้าด้วยกัน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 หลักการสำคัญที่กำลังกำหนดความหมายใหม่ของ Luxury ในปี 2025 1. Quiet Luxury: ความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ซ่อนความเข้าใจลึกซึ้งในคุณภาพ Quiet Luxury กลายเป็นตัวแทนของความหรูยุคนี้อย่างแท้จริง เพราะผู้บริโภคไม่ได้ต้องการประกาศความร่ำรวย แต่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ใช้งานได้นาน และบ่งบอกตัวตนกับคนที่ “เข้าใจจริง” ลักษณะเด่นของ Quiet Luxury คุณภาพเหนือปริมาณ: เลือกสินค้าชิ้นสำคัญแทนกา […]

read more
19.11.2025 703

ความมืดเริ่มเป็นความงามใหม่

สำรวจ ‘ความมืด’ ในฐานะเฉดใหม่ของการออกแบบโลกประสบการณ์ ในอดีต “ความมืด” มักถูกผูกกับภาพของความกลัว, ภัยอันตราย หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มโหยหาความสงบ พื้นที่ปลอดภัยทางใจ และประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน “ความมืด” กำลังถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมและทางธุรกิจที่ทรงพลัง กรอบคิดว่าด้วยการใช้ความมืดเป็นแกนกลางในการออกแบบประสบการณ์และรูปแบบธุรกิจ (Dark Experience) Dark Experience คือแนวคิดของธุรกิจที่ใช้ “ความมืด” เป็นหัวใจของการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เพื่อ “มองเห็น” สิ่งที่สำคัญกว่าเดิม ทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และเรื่องราวที่เคยถูกกลบอยู่ในเงามืดของสังคม สาระสำคัญของ Dark Experience Business คือการใช้ความมืดเป็น “เครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์” แทนที่จะใช้แสงและสิ่งเร้าเข้มข้นแบบที่ธุรกิจยุคก่อนมักใช้ดึงความสนใจผู้บริโภค สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหา Overstimulation อย่างหนัก ทั้งจากแสงไฟ เมือง 24 ชั่วโมง และหน้าจอที่อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ทำให้สมองแทบไม่เคยได้พักจากการประมวลผล สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะสมเป็นความล้าโดยไม่รู้ตัว […]

read more
21.11.2025 594

7 Key Economic Trends จาก The Standard Economic Forum 2025

งาน The Standard Economic Forum 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ในธีม “Thailand’s Next Frontier” รวบรวมผู้นำระดับโลก นักเศรษฐศาสตร์ และผู้กำหนดนโยบายกว่า 100 คน เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ภายในงานมีการเน้น 3 ความท้าทายหลัก (3D Challenges) ก่อนเข้าสู่เทรนด์เฉพาะทาง ได้แก่ 3D Challenges ก่อนที่จะเจาะลึกในเทรนด์เฉพาะ มาทำความเข้าใจภาพรวมที่กว้างขึ้นก่อน ผู้นำธุรกิจไทยได้ระบุถึง “3 ความท้าทาย Digitalization (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล) เทคโนโลยีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นรากฐานของการแข่งขัน เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนคิดเป็น 15.5% ของ GDP โลกแล้ว โดย 70% ของมูลค่าใหม่ทั่วโลกคาดว่าจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในทศวรรษหน้า Deglobalization (การทวนกระแสโลกาภิวัตน์)  โลกกำลังแตกออกเป็นส่วนๆ จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ จีน และพันธมิตร ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเองใน “จุดยืนที่เป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Neutral Position) และ “ผู้สร้างสมดุลอย่างสร้างสรรค์” (Creative Balancer) เพื่อใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ […]

read more
03.11.2025 615

“Gartner” เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมธุรกิจปี 2569

ในปี 2569 จะเป็นปีที่สำคัญต่อผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก นวัตกรรม ไปจนถึงความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เทรนด์เทคโนโลยีทั้งหมดในปีหน้าจะเชื่อมโยงกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven world) และเชื่อมต่อกัน ตลอดเวลา ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ดำเนินงานด้วยความเป็นเลิศ และสร้างความไว้วางใจทางดิจิทัลไปพร้อมกัน ผู้นำองค์กรต้องเผชิญกับ การหยุดชะงัก (Disruption) นวัตกรรม และความเสี่ยงที่ขยายตัวรวดเร็ว 10 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญแห่งปี 2569 1. AI Supercomputing Platforms  AI Supercomputing Platforms (แพลตฟอร์ม AI ซูเปอร์คอมพิวติ้ง) เป็นการรวมพลังของ CPU, GPU, ชิป AI ASICs และการประมวลผลแบบนิวโรมอร์ฟิก (จำลองสมองมนุษย์) ช่วยให้องค์กรจัดการงานที่ซับซ้อนมหาศาล ปลดล็อกประสิทธิภาพและนวัตกรรม ต้องอาศัย Orchestration Software เพื่อจัดการเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 องค์กรชั้นนำ 40% จะใช้สถาปัตยกรรม Hybrid Computing (เพิ่มจาก 8% ในปัจจุบัน) ตัวอย่างการใช้งาน: คิดค้นยาใหม่ในไม่กี่สัปดาห์ (แทนที่จะใช้เวลาหลายป […]

Subscription

เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เทรนด์และวิจัยต่อเนื่อง