10 Digital Marketing Trends 2026: การตลาดไทย
ตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในประเทศไทยปี 2026 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และความคาดหวังด้านความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวที่สูงขึ้น ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 65.4 ล้านคน (91% ของประชากร) และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) โดยค่าใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลคาดว่าจะแตะ 34.5 พันล้านบาท (+10% YoY)
บมความนี้สรุป 10 เทรนด์หลักที่นักการตลาดไทยต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันในปี 2026 ตั้งแต่การใช้ AI แบบ Agentic, การตลาดผ่าน Social Commerce, ไปจนถึงความสำคัญของ Sustainability และ Omnichannel Experience โดยแต่ละเทรนด์จะมีผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนของธุรกิจไทยในปีหน้า
1. Agentic AI Marketing: จาก Generative AI สู่ AI ผู้ช่วยที่แท้จริง
ปี 2026 เป็นปีที่ AI จะก้าวจากเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ (Generative AI) ไปสู่ “Agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด AI ในปี 2026 จะไม่ใช่แค่ตอบคำถามหรือสร้างภาพ แต่จะสามารถวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ และดำเนินการตัดสินใจทางการตลาดได้ด้วยตัวเอง
การประยุกต์ใช้ในไทย:
- AI-Powered Personalization: แบรนด์อย่าง Central Group ใช้ AI แนะนำสินค้าตามประวัติการค้นหาและพฤติกรรม เพิ่มอัตราการแปลงลูกค้า
- Chatbots บน LINE: LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักในไทยด้วยผู้ใช้ 56 ล้านคน (78% ของประชากร) แบรนด์ใช้ AI chatbot ตอบคำถาม แนะนำสินค้า และประมวลผลคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์
- Dynamic Advertising: Facebook Ads และ Google Ads ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อปรับโฆษณาให้เหมาะกับผู้ชมไทยในแต่ละภูมิภาค
คำแนะนำเชิงกลยุทธ์:
ธุรกิจไทยควรลงทุนในเครื่องมือ AI ที่เชื่อมต่อกับ CRM และระบบอื่นๆ เช่น HubSpot AI, ChatGPT, หรือ LINE AI Assistant และต้องให้ความสำคัญกับการเก็บรวบรวม First-party Data เพื่อป้อน AI ให้ทำงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น
2. Social Commerce Dominance: การช้อปผ่านโซเชียลกลายเป็นวิถีชีวิต
Social Commerce ในไทยไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “วิถีชีวิต” ของผู้บริโภคไทยแล้ว ข้อมูลแสดงว่า 69% ของผู้บริโภคไทยซื้อของผ่านโซเชียลมีเดียเป็นประจำ โดย 72% ของผู้หญิงและ 61% ของผู้ชายซื้อของผ่านโซเชียลมากกว่า 6 ครั้งต่อปี ตลาด Social Commerce ในไทยมีมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง
แพลตฟอร์มหลักในไทย:
- TikTok: นำโด่งด้าน Social Commerce ด้วยฐานผู้ใช้ 56.6 ล้านคน (79.1% ของประชากร) และเป็นแพลตฟอร์ม Social Commerce ยอดนิยมอันดับ 1
- Facebook & Instagram: Facebook ครองตลาด 51.5 ล้านบัญชีโฆษณา ขณะที่ Instagram มี 23.4 ล้านผู้ใช้ ทั้งสองแพลตฟอร์มนำเสนอ Shoppable Posts และ Facebook Live Commerce
- LINE Shopping: ให้แบรนด์สร้างร้านค้าภายในแอป LINE ทำให้ผู้ใช้สามารถช้อปปิ้งขณะแชทกับเพื่อนได้
กลยุทธ์ที่ได้ผล:
- ร่วมมือกับ Thai Influencers ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
- จัด Live Shopping Events บน Lazada, Shopee และ Facebook เพื่อสร้าง Engagement
- ใช้ Social Proof เช่น Reviews และ User-Generated Content เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
3. Short-Form Video Marketing: วิดีโอสั้นครองใจผู้บริโภค
คนไทยใช้เวลาดูวิดีโอออนไลน์ถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน และ Short-Form Video กลายเป็นฟอร์แมตที่มี Engagement สูงที่สุด โดย TikTok เข้ามาแซง YouTube ในส่วนแบ่งโฆษณา (16%) ผู้บริโภคต้องการคอนเทนต์ที่รวดเร็ว สนุก และสื่อสารได้ตรงประเด็น
Case Study:
- แบรนด์อาหารเสริมสุขภาพใช้วิดีโอ Before-After แบบ 30 วินาทีบน TikTok ลด CPA ลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับโฆษณาบน Facebook
- แบรนด์ญี่ปุ่นด้านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวร่วมมือกับ Nano Influencer ในไทยสร้างวิดีโอบน TikTok และสามารถลด CPA ลง 60%
คำแนะนำ:
- สร้างวิดีโอที่เน้น Storytelling มากกว่าการขายตรง
- ใช้คำบรรยาย (Subtitles) เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ดูวิดีโอโดยไม่เปิดเสียง
- ปรับคอนเทนต์ให้เหมาะกับมือถือ (Mobile-First)
- ทดลองใช้ Reels (Instagram), YouTube Shorts และ TikTok ควบคู่กันเพื่อเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้น
4. Influencer Marketing Evolution: ยุค Micro & Nano Influencers
การตลาดผ่าน Influencer ในไทยปี 2026 จะเน้นที่ความ “จริงใจ” (Authenticity) มากกว่าจำนวนผู้ติดตาม ตลาด Influencer Marketing ในไทยคาดว่าจะโตเป็น 2.36 พันล้านบาทในปี 2024 และเติบโต 10.24% ต่อปีจนถึง 2029
การเปลี่ยนแปลงสำคัญ:
- Micro Influencers (10K-100K) และ Nano Influencers (1K-10K) มี Engagement Rate สูงกว่า Mega Influencers ถึง 3 เท่า
- Nano Influencer มี Engagement Rate 5.8% เทียบกับ Mega Influencer ที่มีเพียง 1.9%
- แบรนด์เริ่มกระจายงบไปหลาย Micro/Nano แทนการใช้ Macro คนเดียว เพราะได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่า
ต้นทุนและ ROI:
| ระดับ Influencer | ค่าตอบแทนต่อโพสต์ (USD) | เหมาะสำหรับ |
| Nano (1K-10K) | $25-$100 | SME, UGC-style |
| Micro (10K-100K) | $100-$500 | แคมเปญระดับภูมิภาค |
| Macro (100K-1M) | $500-$2,000 | เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ |
| Mega (1M+) | $2,000+ | สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง |
แนวทางที่ประสบความสำเร็จ:
- เลือก Influencer ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
- ใช้ Content Creators ในหมวดหมู่ News, Family และ Pet ที่กำลังเติบโต
- วัดผลด้วย Trackable Links, Influencer-Specific Codes หรือ Affiliate Programs
5. Voice Search & AI SEO: การค้นหาด้วยเสียงเติบโตรวดเร็ว
การค้นหาแบบพิมพ์ตัวอักษรจะลดลงถึง 25% ในปี 2025-2026 และถูกแทนที่ด้วย Voice Search และ AI-powered Search ผู้บริโภคไทยเริ่มใช้ LINE Voice, Google Assistant และ AI Chatbot ค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาในท้องถิ่น (Local Search)
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง:
- เดิม: “ร้านกาแฟ สยาม” (3 คำ)
- ปัจจุบัน: “ร้านกาแฟแถวสยามที่มีปลั๊กและเงียบ” (8+ คำ, แบบสนทนา)
กลยุทธ์ Voice Search Optimization:
- คิดแบบบทสนทนา: ใช้ Long-tail Conversational Keywords เช่น “จะเลือกร้านทำเล็บแถวทองหล่อที่ไหนดี?”
- สร้างหน้า FAQ: ตอบคำถามที่ผู้ใช้มักถามในรูปแบบภาษาพูด
- ใช้ Schema Markup: ช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างข้อมูลและเลือกเว็บไซต์คุณเป็น “อันดับศูนย์” (Position Zero)
- เน้น Local SEO: อัปเดต Google Business Profile ให้มีข้อมูลครบถ้วนและรีวิวที่ดีyoutube
- Mobile-Friendly & Fast Loading: ความเร็วเป็นหัวใจของ Voice Search
ข้อควรระวัง:Voice Search มักให้คำตอบเพียงหนึ่งเดียว หากไม่ใช่อันดับแรก คุณจะแทบไม่มีตัวตนในการค้นหาด้วยเสียง
6. Sustainability Marketing: จากคำสัญญาว่างเปล่าสู่คุณค่าที่จับต้องได้
ผู้บริโภคไทยมากกว่า 60% ชอบแบรนด์ที่สอดคล้องกับคุณค่าด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ยุคของ “คำมั่นสัญญาแบบคลุมเครือ” เกี่ยวกับความยั่งยืนได้สิ้นสุดลงแล้วในปี 2026 แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นการให้ “คุณค่าที่จับต้องได้” (Tangible Value) แทนการพูดแค่ “ช่วยโลก”
การเปลี่ยนแปลง:
- แทนที่จะพูดว่า “เราช่วยโลก” แบรนด์จะเน้นผลประโยชน์ที่วัดได้ เช่น ความทนทาน (Durability) และประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency)
- ผู้บริโภคต้องการความโปร่งใส (Transparency) ไม่ใช่แค่การ “Greenwashing”
- กฎระเบียบด้าน ESG และความยั่งยืนเข้มงวดขึ้น
แนวทางสำหรับแบรนด์ไทย:
- สื่อสารผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบเฉพาะเจาะจง เช่น “ลดพลาสติก 30%” แทน “รักษ์โลก”
- นำเสนอ Product Benefits ที่ชัดเจน เช่น “ใช้ได้นาน 10 ปี” หรือ “ประหยัดไฟ 40%”
- ร่วมมือกับ Community และสร้าง Local Partnership
ธุรกิจที่มาแรง:
การท่องเที่ยวคุณภาพ, ธุรกิจสุขภาพและบริการสุขภาพ, และธุรกิจเกษตรและไบโอเทคจะเป็นโอกาสทางการตลาดในปี 2026
7. Omnichannel Experience: การเชื่อมต่อทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ
ผู้บริโภคไทยใช้ Social Media เฉลี่ย 7 แพลตฟอร์มต่อเดือน และสลับไปมาระหว่าง Facebook, LINE, WhatsApp, Shopee และ Lazada อย่างต่อเนื่อง การสร้าง Omnichannel Experience ที่สอดคล้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ข้อมูลสนับสนุน:
- ลูกค้า Omnichannel ใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าช่องทางเดียว 30% และมี Lifetime Value สูงกว่า 30%
- แบรนด์ที่สร้าง Cross-channel Presence ได้ดี มี Customer Retention 89% เทียบกับแบรนด์ที่กระจัดกระจาย 33%
เทคโนโลยีและกลยุทธ์:
- HubSpot CRM + LINE Integration: เชื่อมต่อ LINE Official Account, Facebook, Shopee, Lazada เข้ากับ CRM เดียว
- AI-Powered Personalization: ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก LINE CRM ส่งข้อความที่ตรงเป้า
- Click & Collect: สั่งออนไลน์ รับที่ร้าน
- Real-time Inventory Management: อัปเดตสต็อกทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบเรียลไทม์
4 Omnichannel Trends 2026:
- Mobile-First Design: 139% ของประชากรมีการเชื่อมต่อมือถือ
- Flexible Fulfillment: สั่งออนไลน์ รับหน้าร้าน หรือจัดส่งด่วน
- Personalized Campaign: โปรโมชั่นเฉพาะสาขาและการแจ้งเตือนตามเส้นทางซื้อของแต่ละคน
- Seamless Payment: PromptPay และ E-wallets เป็น Payment Methods หลัก
8. Live Commerce & Conversational Commerce: การสนทนาคือการซื้อขาย
Live Commerce:
Live Shopping บน TikTok Live, Facebook Live และ Shopee Live กลายเป็นวิถีใหม่ของการช้อปปิ้งในไทย แบรนด์อย่าง KFC Thailand, Shopee และ Lazada จัด Live Shopping Events ที่ผสมผสานความบันเทิงกับการพาณิชย์
Conversational Commerce:
ตลาด Conversational Commerce ในไทยจะเติบโต 22.2% ต่อปีและมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 คาดว่าจะขยายเป็น 33.8 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 การสนทนาผ่าน Chatbots, Messaging Apps (LINE, Facebook Messenger) และ Voice Assistants จะกลายเป็นช่องทางซื้อขายหลัก
ประโยชน์:
- ลดขั้นตอนการซื้อ (Frictionless Shopping)
- สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการสาธิตสินค้าแบบเรียลไทม์
- เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Interactive Features
แนวทาง:
- ใช้ AI Chatbot บน LINE และ Facebook Messenger เพื่อตอบคำถามและแนะนำสินค้า
- จัด Live Demo โดย Influencers พร้อม Q&A Session
- สร้าง QR Code บนบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงไปยัง Live Shopping
9. Data Privacy & First-Party Data Strategy: ยุคหลัง Cookies
ภายในปี 2026 นักการตลาดมากกว่า 72% ทั่วโลกจะปรับกลยุทธ์ไปสู่ Privacy-first Data Models และ 92% ของนักการตลาดบอกว่า First-party Data “มีค่ามากกว่าที่เคย” การสิ้นสุดของ Third-party Cookies บังคับให้แบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บและใช้ข้อมูลลูกค้า
กฎหมายในไทย:
- กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) บังคับให้แบรนด์ต้องมีความโปร่งใสในการเก็บข้อมูล
- ต้องระบุ #sponsored หรือ #ad ในภาษาไทยสำหรับความร่วมมือกับ Influencers
กลยุทธ์ Privacy-Centric Marketing:
- ตรวจสอบ Data Practices ปัจจุบัน: วิเคราะห์ว่าเก็บข้อมูลอะไรและใช้อย่างไร
- สร้างระบบ First-Party Data: ใช้ CRM, Email Marketing และ LINE Official Account รวบรวมข้อมูลโดยตรงจากลูกค้า
- ลงทุนใน Privacy Tech: เครื่องมือที่ช่วยจัดการข้อมูลตาม GDPR และ PDPA
- ปรับ KPIs: วัดผลจากคุณภาพของ Engagement แทนแค่ Reach
- ความร่วมมือระหว่าง Marketing, Legal & Tech: สร้าง Alignment เพื่อให้มั่นใจว่าปฏิบัติตามกฎหมาย
10. Customer Experience 2026: ความเร็ว + ความเป็นส่วนตัว + Empathy
ลูกค้า 73% จะเปลี่ยนไปหาแบรนด์คู่แข่งทันทีหากเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีหลายครั้ง และกว่า 50% จะเลิกสนับสนุนแบรนด์หลังพบประสบการณ์แย่เพียงครั้งเดียว ผู้บริโภคไทยคาดหวัง “การตอบสนองทันที” โดย 90% ต้องการคำตอบภายใน 10 นาที
5 องค์ประกอบหลักของ CX 2026:
- Hyper-Personalization:
- 71% ของผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์เฉพาะบุคคล และ 76% จะรู้สึกหงุดหงิดหากไม่ได้รับ
- ใช้ AI และข้อมูล CRM สร้างคำแนะนำสินค้าและโปรโมชั่นส่วนตัว
- Speed & Real-time Response:
- ใช้ AI Chatbot ตอบคำถามพื้นฐานทันที ขณะที่ทีมบริการลูกค้ารับมือเรื่องซับซ้อน
- ตอบสนองภายใน 10 นาทีเพื่อลดความหงุดหงิดและลด Negative Reviews บนโซเชียล
- Empathy & Human Touch:
- แม้จะใช้ AI แต่ลูกค้ายังคงต้องการความเห็นอกเห็นใจและการบริการที่เป็นมนุษย์
- ฝึกทีมงานให้รับฟังปัญหาลูกค้าอย่างตั้งใจและใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร
- Omnichannel Consistency:
- การสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและสอดคล้องทุกช่องทาง (ร้านค้า, เว็บไซต์, โซเชียล, LINE)
- Customer Journey Mapping เพื่อระบุ “Moment of Truth”
- Proactive Service:
- ใช้ข้อมูลลูกค้าคาดเดาความต้องการและเสนอความช่วยเหลือก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ
- ตั้ง Voice of Customer (VoC) Feedback Loop ส่งข้อมูลไปยังทีมผลิตภัณฑ์เพื่อปรับปรุงทันที
Metrics ที่ต้องวัด:
- Net Promoter Score (NPS): วัดความพึงพอใจและความภักดี
- Customer Effort Score (CES): วัดความยากง่ายในการใช้บริการ
- First Contact Resolution (FCR): วัดความสามารถแก้ปัญหาในครั้งแรก
- Average Resolution Time: วัดความรวดเร็วในการแก้ปัญหา
บทสรุป
ปี 2026 เป็นปีที่นักการตลาดไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและจริงจัง จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาเทคโนโลยี AI และความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้า แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่สามารถผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและมนุษยธรรม ความเร็วและความใส่ใจ รวมถึงการสร้างคุณค่าที่จับต้องได้แทนคำสัญญาว่างเปล่า
สามคำสำคัญที่สรุปการตลาดไทย 2026 คือ: AI, ความยั่งยืน และความคล่องตัว ธุรกิจที่สามารถนำเทรนด์เหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทไทย จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
บทความโดย : ภูชิต มุณีวงศ์ (Future Trend Researcher)
บทความเทรนด์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง






