Wellness Thailand: จาก “Service Destination” สู่การก้าวไปครองบัลลังก์ “Wellness Destination” ของโลก
คุณอยากเห็นประเทศไทยยืนอยู่ตรงไหนในตลาด Global Wellness ที่คนทั่วโลกนึกถึงเป็นอันดับแรก?
เมื่อการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการ “ยกระดับคุณภาพชีวิต”
กระแสเทรนด์เรื่อง Wellness เป็นโอกาสทองที่ไทยกำลังจะคว้าโอกาสเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด Wellness Tourism ระดับโลก เพราะด้วยศักยภาพที่เรามีครบ ทั้งด้านการแพทย์สูง (Medical) และ ด้านภูมิปัญญาจากธรรมชาติและจิตวิญญาณท้องถิ่น (Wisdom of Nature) และในปัจจุบันเมื่อการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการ “ยกระดับคุณภาพชีวิต” ยิ่งทำให้ไทยมีโอกาสในการวางตำแหน่งตัวเองด้วยจุดแข็งแบบ “Bi-Polar Strategy” หรือ “กลยุทธ์ 2 ขั้ว” ได้อย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายศักยภาพ (เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น ฮ่องกง และมาเลเซีย) ที่มองหาการดูแลสุขภาพแบบรากฐานองค์รวมจนถึงระดับเซลล์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งตรงนี้เอง…ที่ประเทศไทยกำลัง “ยืนอยู่บนโอกาสครั้งใหญ่”
ขั้วที่ 1: Advanced Tech – ความแข็งแกร่งระดับ Medical Hub
ถ้าพูดถึงการรักษาพยาบาล ไทยติดอันดับ 1 ใน 20 ประเทศด้านการแพทย์ท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้ 670 พันล้านบาทจากธุรกิจ Wellness ในปี 2025 และในตลาด Medical Tourism นี้ก็ถูกคาดโตว่าจะมีอัตราการเติบโต 18.93% ต่อปีจนถึงปี 2033. ซึ่งจุดแข็งของไทย คือ การได้รับการยอมรับในฐานะ “ศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก” จากแัจจัยสนับสนุนที่มีโรงพยาบาลมาตรฐานสากล เทคโนโลยีขั้นสูง และบริการครบวงจร ซึ่งเหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยว Luxury ที่ต้องการเดินทางมาเพื่อรับบริการครบวงจร (ฟื้นฟู-บำบัด-ป้องกัน) ทั้งร่างกายและจิตใจแบบพรีเมียม เช่น บริการ IV Drip หรือ Hyperbaric Oxygen ที่ Anantara Layan Phuket
สรุป Key value: ขั้วนี้คือการตอกย้ำว่าไทย คือ ผู้นำด้านการแพทย์ที่ไม่ใช่แค่การรักษา แต่มี ”ความน่าไว้วางใจ เชื่อถือได้” และ “ความหรูหรา” ผ่านการที่ส่งมอบประสบการณ์สุด Exclusive
ขั้วที่ 2: Wisdom of Nature & Roots – ภูมิปัญญาจากท้องถิ่นและหัวใจบริการไทยแท้ๆ
อีกขั้วหนึ่ง ไทยคือแหล่งรวมศาสตร์ภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพจากรากวัฒนธรรม ด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทย สมุนไพร การทำลมปราญสมาธิ ที่มีอย่างยาวนาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือ Soft Power ที่สร้าง Immersive Experience แบบ Authentic ได้ไม่ซ้ำใคร และสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวปัจจุบันที่เป็นฐาน Thai Love ผู้หลงรัก Friendliness และเดินทางมาเยือนเพื่อแสวงหาความอบอุ่นจากรากเหง้าท้องถิ่นไทยที่ไม่เหมือนที่ไหน
ตัวอย่างเช่น การบำบัดองค์รวมที่ Kamalaya Koh Samui หรือ Chiva-Som ซึ่งเป็น Top Player ในตลาด Wellness Tourism มูลค่า 8.5 พันล้าน USD (ปี 2023)
สรุป Key value: ขั้วนี้คือการส่งมอบ “ประสบการณ์พิเศษ” ที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหนในโลกของจากไทยแลนด์!
Big Insight: จุดเปลี่ยนเกมที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ต้นน้ำ แต่คือ “ปลายน้ำของ Value Chain”
แม้ไทยจะแข็งแรงทั้ง Medical Hub และ Traditional Wellness แต่ปัจจุบัน…ผู้ประกอบการรายย่อยกลับยัง “ไม่สามารถเข้าไปเชื่อมต่อ Value” กับกลุ่มลูกค้า High-end เหล่านี้ได้จริง
ปัญหาที่เห็นชัดคือ
- ทักษะแรงงานยังไม่รองรับ High Value Service
- สินค้า Wellness ส่วนใหญ่ยังเป็น Raw Material / Low Margin
- ขาด IP, Design, Branding ที่สร้างราคาเพิ่ม
- เงินยัง “กระจุก” อยู่กับผู้ให้บริการขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย
ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้รวยเพราะเก่งบริการอย่างเดียวแต่เติบโตจาก “การถือครองแบรนด์ + IP + เทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปขั้นสูง” ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญของเหล่าผู้ประกอบการรายย่อยไทยที่ทำให้พลาดโอกาสจากการ Value Chain ปลายน้ำ
สรุป Key value: ดังนั้นทางรอดของ Wellness ไทย คือ เราต้องเปลี่ยนบทบาทจาก Operating Destination เป็น IP & Brand-driven Economy ไม่ใช่แค่ “สถานที่ให้บริการ” แต่เป็น เจ้าของแบรนด์ Wellness ที่โลกต้องซื้อซ้ำ
GI คือ กุญแจสำคัญ ที่เป็นบันไดพาไปสู่ High Margin Wellness
ประเทศไทยต้องเร่งยกระดับการยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย GI (Geographical Indication) เพื่อสร้าง Premium Souvenir เช่น สมุนไพร Aroma Packaging พรีเมียมพร้อม Storytelling จากท้องถิ่น ลองจินตนาการว่า Asset เหล่านี้ถูกนำไปพัฒนามูลค่าเพิ่ม
- สมุนไพรและเครื่องเทศเฉพาะถิ่น: เช่น ขมิ้นชัน หรือพริกไทย ที่มีปริมาณสารสำคัญสูง เนื่องจากสภาพอากาศของแหล่งผลิต
- ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสุขภาพ: เช่น ผลไม้หรือธัญพืชจากแหล่งเฉพาะที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยหรืออโรมาเทอราพี (Aroma Therapy): ที่ใช้พืชหรือวัตถุดิบจากแหล่ง GI ซึ่งมีกลิ่นและคุณสมบัติพิเศษ ตามพื้นที่ของภาคเหนือ ใต้ อีสาน
- Wellness Goods ที่มี Story + Premium Design
- แพ็กเกจ Wellness Local Experience ที่เชื่อม Medical Trip เข้ากับ Local Community
ทั้งหมดนี้สามารถแปลงจาก Local Product ไป Global Wellness Brand ได้จากวัตถุดิบราคาต่ำ สู่ Premium Souvenir & Lifestyle Product
ซึ่งสิ่งสำคัญคือ การจดทะเบียน GI ที่จะช่วย สร้างความแตกต่าง และ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ให้กับผลิตภัณฑ์ Wellness ไทยอย่างมาก ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยว Luxury และ Wisdom of Nature & Roots ที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง มีที่มาที่ไป และเป็นของแท้จากท้องถิ่น
เมื่อ Advanced Tech รวมพลังกับ Wisdom of Nature จะสร้างแรงกระเพื่อมระดับ New Sustainable Value Chain
หากประเทศไทยสามารถผสาน
- Medical Tech ระดับโลก
- ภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ
- GI + Design + Branding
จะทำให้ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่จับกระแส Wellness Trend เล่นๆ แต่จะสร้างแรงกระเพื่อมระดับสร้าง New Sustainable Value Chain ของอุตสาหกรรม ที่เป็นห่วงโซ่ความยั่งยืน ให้ลูกค้าได้อย่าง Seamless Experience ได้ครบลูปและได้ผลประโยชน์รอบด้านตั้งแต่โรงพยาบาลใหญ่ยันสินค้าท้องถิ่น สู่ Global Brand ที่ Export ได้ครบลูปเหล่านี้
- กระจายรายได้สู่ชุมชน
- สร้างแบรนด์ให้ประเทศ
- ขยาย Export Wellness Product
- เพิ่ม High Margin มากกว่าการขายแรงงานบริการ
ซึ่งนี่คือปลายทางที่เราควรพาประเทศไทยไปยืน ไม่ใช่เพียง “ประเทศที่นวดเก่ง ราคาถูก” แต่คือ “World’s Wellness Lifestyle Brand – Thailand” ประเทศที่ขายวิถีชีวิตแห่งสุขภาพมากกว่าการเสนอธุรกิจภาคบริการเพียงอย่างเดียว
Call to Action: คุณอยากพาไทยไปยืนอยู่ตรงไหน?
โอกาสในการเป็นผู้นำตลาด Wellness Tourism ของไทยกำลังรออยู่ เราจะยังคงเป็นแค่ผู้ให้บริการ หรือจะพุ่งไปสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ?
- คุณคิดไทยควรโฟกัสด้านไหนก่อน? คอมเมนต์แชร์ไอเดีย!
- คุณเห็นผลิตภัณฑ์ GI ท้องถิ่นอะไรบ้างที่ควรถูกนำมาสร้างเป็น Premium Wellness Brand?
- ลอง Tag เพื่อน/นักออกแบบ/ผู้ประกอบการ ที่คิดว่ามีศักยภาพในการสร้าง Brand Product Prototype จากภูมิปัญญาไทยกันได้ค่ะ
ข้อมูลจากงานวิจัยโดย Baramizi Lab Co., Ltd. and Pradit Ratanawijitrasilp
บทความโดย : กรภัทร คงโชคชัย (Brand and Innovation Researcher)
#WellnessTourism #MedicalHub #ThaiWellness #SmileCurve #GIThailand #ภูมิปัญญาไทย #WellnessThailand #ThaiSoftPower
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง






